Translate

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แด่...เทพธิดาอารีย์ (๒)

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตอนเช้าฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณอรุณ เล่าว่าก่อนหน้านี้เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่เขยแจ้งว่า  พี่อารีย์อาการหนักมากไม่รู้สึกตัว ถ้าจะไปดูใจ ก็ให้รีบไป ตอนนี้นอนอยู่ที่ห้องไอซียู.... คุณอรุณได้ขอร้อง ให้ฉันช่วยถามครูบาอาจารย์ให้ด้วย ว่าพี่สาวเธอมีทางจะรอดไหม  หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว  ฉันก็ได้รีบสื่อถามครูบาอาจารย์โดยเร็ว....ครูบาอาจารย์ได้บอกว่า "หมดเวลาของอารีย์แล้ว"  ถามท่านว่า "ขอต่ออีกได้ไหมคะ"  ท่านตอบว่า "ไม่ได้"  เป็นอันว่าพี่อารีย์หมดอายุในเร็ว ๆ นี้แน่นอน  ท่านก็ไม่บอกให้ทราบ ว่าจะหมดอายุเวลาไหนวันไหน แต่ก็บอกให้ทราบกันไว้ เพื่อที่จะได้เตรียมใจและยอมรับตามความเป็นจริง

เมื่อคุณอรุณได้ทราบว่า พี่สาวจะต้องจากเธอไปอย่างแน่นอน เพราะหมดเวลาของเขาแล้ว....เธอจึงตัดสินใจลาหยุดงานเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ เพื่อที่จะไปอยู่ปรนนิบัติพี่สาวคนโปรด เป็นครั้งสุดท้าย  เมื่อเธอเดินทางถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางตรงไปที่โรงพยาบาล ที่พี่สาวพักอยู่  ตอนนั้น
พี่อารีย์พักอยู่ที่ห้องพิเศษ คุณอรุณได้ไปปรนนิบัติพี่  ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำ ล้างทำความสะอาดเนื้อตัวให้  และนอกจากนั้น ยังพาพี่สาวสวดมนต์ ฟังธรรมะและเดินจงกรมทุกวันด้วย  พี่สาวก็มีอาการดีขึ้น พูดคุยกันรู้เรื่อง  คุณอรุณกับพี่สาวคนนี้ รักและสนิทสนมกันมาก  หลังจากไปอยู่ที่โรงพยาบาลกับพี่สาวได้ ๑ สัปดาห์ผ่านไป  พี่สาวก็แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก  จนเธอคิดว่าพี่สาว คงจะอยู่ได้อีกนาน

ในเวลาต่อมา พี่อารีย์ได้ขออนุญาตหมอ ขอกลับไปอยู่ที่บ้าน  พอไปถึงบ้านก็อยากจะได้ทีวีเครื่อง
ใหญ่กว่าเดิม จะได้ดูภาพเห็นชัด ๆ เพราะตามองไม่ค่อยเห็น แต่ลูกชายไม่ยอมซื้อให้  เธอก็คงจะน้อยใจลูกชายบ้าง  ในวันต่อมาเธอบ่นอยากจะกินปลานึ่ง สามี,ลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมด้วยคุณอรุณ ก็ได้พาเธอไปช๊อปปิ้งกัน  หลังจากที่ได้ไปซื้อของตามที่เธอต้องการแล้ว  ยังได้ไปเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างทำผม ทำเล็บให้ดูสวยงาม เอาชุดไทยไปให้ช่างช่วยแก้ไขให้ เตรียมจะไว้ใส่ไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่ ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง  พี่อารีย์ได้ไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและน้องสาวที่ร้านอาหาร  ซึ่งไม่มีใครทราบล่วงหน้าเลยว่า จะเป็นการรับประทานอาหารครั้งสุดท้ายร่วมกัน....นี่แหละค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา   การเกิดดับไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย

หลังจากที่พี่อารีย์และครอบครัวรับประทานอาหารเสร็จแล้ว  ก็ได้กลับไปพักที่บ้าน.....เวลาประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ๆ ได้เข้านอนและเธออยากจะเข้าห้องน้ำ  สามีจึงได้อุ้มเธอ แต่บังเอิญหลุดมือ เธอเลยตกลงไปนอนกับพื้น อาการโรคกำเริบหนักอย่างรวดเร็ว สามีจึงได้เรียกรถจากโรงพยาบาลรับเธอด่วน  เธอก็ได้กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้งหนึ่ง  สามีและลูกชายรวมทั้งคุณอรุณ  เฝ้าอยู่ที่นั่นเพื่อให้กำลังใจเธอตลอดทั้งคืน  ส่วนญาติพี่น้องทุกคนที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ได้ทยอยกันมาเฝ้าดูใจ

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม  เวลาประมาณ ๗ นาฬิกา ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณอรุณ  โทรมาจากโรงพยาบาล  บอกว่าพี่อารีย์ขณะนี้อยู่ท่ี่โรงพยาาบาล เธอกลับเข้าห้องไอซียูอีกแล้ว หลังจากกลับไปอยู่บ้านได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นก็มีอาการหนัก หมอบอกว่าไม่รอดแน่นอน  จึงได้โทรมาเพื่อให้ครูบาอาจารย์ช่วยสวดมนต์ทำพิธีส่งวิญญาณให้ด้วย....ฉันก็ได้สื่อเรียนให้พระแม่กวนอิมทราบว่า พี่อารีย์คงไม่รอดวันนี้แน่  แต่ที่จริงท่านก็ทราบกันก่อนแล้วล่ะ  ท่านบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีสวด  และได้กำหนดเวลาที่พี่อารีย์จะสิ้นลมหายใจ  แล้วท่านยังบอกว่า พี่อารีย์จะต้องมาที่สมาคมไทย-กวนอิมก่อน แล้วจึงจะไปสู่สถานที่ตัดสินกรรม....เวลา ๒๑.๒๐ น.(เวลาของสวิตเซอร์แลนด์) พระแม่กวนอิมได้บอกกับฉันว่า "อีก ๒๐ นาที อารีย์จะสิ้นลมหายใจ"

เวลา ๒๑.๒๙ น. ฉันได้เริ่มจุดธูป ๕ ดอก เทียน ๔ เล่ม.....พระแม่กวนอิม ๘๔ ปางรวมพลังสวดมนต์เป็นภาษาจีนโบราณเสียงโหยหวนมาก....ในพิธีนี้ก็มีสามีฉัน, ลูกชายและน้องสาวนั่งร่วมอยู่ด้วย ทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบ เหมือนถูกสะกดด้วยมนต์คาถา....ท่านปู่อุปคุตได้มาช่วยงานท่านแม่กวนอิม และได้ช่วยทำพิธีเปิดพลังคอสมิคให้กับวิญญาณด้วย  เพื่อที่จะให้วิญญาณออกจากสถานที่โรงพยาบาลได้  พอออกมาได้  ยมทูตก็ได้พาพี่อารีย์ตรงไปที่สมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์ทันที (ก่อนสิ้นใจคุณอรุณได้บอกพี่สาวว่าให้ไปที่สมาคมก่อน) พอมาถึงสมาคม เธอได้ขอน้ำดื่มก่อนอื่น เพราะกระหายน้ำมากก่อนตาย จากนั้นจึงได้ก้มลงกราบท่านแม่กวนอิมอย่างนอบน้อม ขอบพระคุณท่านแม่กวนอิมและครูบาอาจารย์ทุกท่าน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณฉันและครอบครัวด้วย  ที่ได้ให้กำลังใจเธอมาตลอด....น้องสาวฉันได้มองเห็นหน้าตา และรูปร่างของพี่อารีย์อย่างชัดเจน  พี่อารีย์ดูซูบผอมมาก คงเป็นเพราะว่าป่วยมาเป็นเวลานาน

ขอเล่าย้อนหลังถึงตอนที่พี่อารีย์ก่อนจะสิ้นใจ....ก็มีคุณอรุณผู้เดียวที่มีสติระลึกได้ว่า ในขณะนั้นควรทำอะไร เพื่อที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่พี่สาวของเธอ.....เธอได้บอกกับพี่สาวว่า ให้นึกตามที่เธอพูดทุกคำ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ให้ตัดความห่วงใยทั้งหมด พี่อารีย์ก็พยักหน้ารับรู้  ขณะนั้นพี่อารีย์แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทวารทั้ง ๖ จวนจะปิดหมดแล้ว....คุณอรุณได้กล่าวถึงบุญทานทุกชนิดที่พี่สาวได้กระทำไว้ กล่าวจนครบหมดแล้ว จึงได้สวดมนต์ให้ฟัง  ตอนนั้นพี่อารีย์อยู่ในอาการสงบ  สามีและลูกชายก็เข้าไปโอบกอด ร้องไห้รำพึงรำพันกับเธอไม่อยากให้เธอจากไป แต่เธอก็ใจแข็ง นอนหันหลังให้  เธอได้รอจนกระทั่งน้องชายคนเล็กไปถึง  เมื่อญาติพี่น้องทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว.....เธอจึงได้จากทุกคนไปด้วยอาการสงบ....การที่พี่อารีย์ป่วยหนัก และได้รับการต่ออายุให้อยู่ได้อีก ๔ ปี ก็ด้วยอานิสงส์จากกุศลกรรม ที่เธอได้มุ่งบำเพ็ญด้วยศรัทธาแรงกล้า.....เธอจึงโชคดี มีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดถึง ๒ เดือน...ทุกชีวิตหนีไม่พ้น "มัฉจุราชแห่งความตาย" หนีไม่พ้น "กฏไตรลักษณ์" ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา




                                                                                                         ยังทีต่ออีกค่ะ......

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แด่...เทพธิดาอารีย์ (๑)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน.....เราพบกันอีกเช่นเค่ะ  ขอขอบคุณมาก ๆ ค่ะ  ที่ติดตามอ่านบทความมาโดยตลอด  รวมทั้งท่านผู้มาใหม่ด้วยจ๊ะ.....มีหลายท่านในต่างประเทศ หลายประเทศที่สนใจติดตามอ่านบทความในเว็ปไซด์ของสมาคมไทย-กวนอิม (ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์กวนอิม) มาต้้งแต่เรื่องแรก ก็ขอฝากขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ.....วันนี้ก็มีเรื่องจริงที่น่ารู้น่าสนใจมาเล่าสู้กันฟังอีก  เป็นเรื่องของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง มีนามว่า "อารีย์  ศรีอุมา" เธอเป็นสมาชิกของสมาคมไทย -กวนอิม, สวิตเซอร์แลนด์  ได้ประมาณ ๕ ปี  บัดนี้เธอได้จากพวกเราไปแล้ว ไปสู่ความเป็นบุคคลใหม่ในภพภูมิใหม่ที่ดีและที่งดงามละเอียดกว่าภูมิเดิม....ขอเชิญติดตามเรื่องราวของ "เทพธิดาอารีย์" ตามอัธยาสัยจ๊ะ

เมื่อวันพุธที่ ๒๑ กันยายน ที่ผ่านมานี้  เวลาประมาณตี ๑  ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันเพิ่งจะเข้านอน  พอเริ่มจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิด และมีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วมาหยุดยืนที่ข้างเตียงด้านที่ฉันนอน.....ฉันจึงได้กำหนดจิต แล้วสื่อถามไปว่า "ท่านเป็นใคร ต้องการอะไรหรือค่ะ" รู้สึกว่า แขกผู้ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ มารยาทดีมากทีเดียว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า "ขอโทษนะคะ ที่มารบกวนตอนดึก  นี่เทพธิดาอารีย์ค่ะ"  ฉันถาม "มีอะไรจะให้ช่วยหรือคะ"  เธอตอบว่า "เทพธิดาอารีย์มาขอความเมตตาจากคุณแมว ขอให้ช่วยเขียนบทความ เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตการเจ็บป่วย และชีวิตหลังการตาย  ตามที่เคยมาเล่าให้ฟังแล้ว  เพื่อให้ชาวโลกได้ทราบว่า โลกหน้ามีจริง สวรรค์และนรกมีจริง กรรมและผลของกรรมมีจริง ไม่ควรใช้ชีวิตกันอย่างประมาท"  พอได้ฟังเธอพูดจบแล้ว  ฉันรู้สึกปลื้มในความคิดของเธอ ที่มีความเมตตากรุณา  ยังเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของญาติพี่น้อง และเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ที่ยังหลงและติดข้องอยู่ในกามโลก ไม่รู้จักบุญบาปเป็นอย่างไร.....ฉันจึงได้ตอบตกลงทันที ว่าจะเขียนบทความให้ตามคำขอ  เธอดีใจมากและได้กล่าวขอบคุณ  และบอกว่าไม่อยากรบกวนฉันมากนัก เพราะว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว  เธอได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับฉันด้วย ที่ได้พิมพ์บทความเผยแผ่ธรรมะเป็นธรรมทาน....แล้วเธอก็ขอลากลับสู่ภูมิภพของเธอ

ฉันได้รู้จักพี่อารีย์ ก็เพราะว่าเธอเป็นพี่สาวของคุณอรุณ ซันทุคซี (รองประธานสมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) เคยเห็นเธอครั้งหนึ่งกับพวกน้อง ๆ ของเธอที่จังหวัดพิษณุโลก  เธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง สามีของเธอรับราชการทหาร มียศระดับใหญ่และมีลูกชายด้วยกัน ๑ คน.....เธอเริ่มไม่สบายด้วยมีมือสั่นผิดปรกติบ่อย ๆ  จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็ค ผลปรากฏว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ หมอสั่งให้ผ่าตัด  หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว  ได้ติดเชื้อไวรัสซีลงตับ  ต่อมาได้มีอาการโรคใหม่แทรกซ้อน เธอไม่สามารถดื่มนมได้เหมือนเมื่อก่อน พอดื่มนมแล้วรู้สึกอืดและแน่นท้องมาก จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็คสุขภาพอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งตับ จึงได้รับการรักษา ด้วยการฉายรังสีเป็นระยะ  หลังจากนั้นต่อมาก็มีโรคเบาหวานแทรกซ้อนเพิ่มอีก ๑ โรค มีอาการตาเหลืองและบวม ไม่มีเรี่ยวแรง....ในช่วงที่พี่อารีย์ป่วยหนักนี้  คุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน ให้ช่วยสื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์ตรวจกรรมให้ด้วย  ครูบาอาจารย์ได้แนะนำว่า ให้พี่อารีย์ไปทำบุญทำทาน และทำสังฆทานให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เป็นระยะ ๆ อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอมีอาการหนักแทบจะเอาชีวิตไม่รอด  เพราะอาการของโรคกำเริบหนักมาก  คุุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน สื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์เมตตาโปรดพี่อารีย์ด้วย  ฉันจึงได้สื่อกับท่านท้าวเวสสุวรรณ เพื่อให้ท่านเมตตา ช่วยตรวจดูบัญชีชีวิตของนางอารีย์ ศรีอุราม ว่าเป็นอย่างไร  ท่านบอกว่าหมดอายุแล้ว  ฉันจึงได้ขอท่านโปรดเมตตาด้วย  ขอให้พี่อารีย์ได้มีโอกาส มีอายุอยู่ต่อสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะได้ทำบุญทำทาน ให้พร้อมก่่อนที่จะสิ้นชีวิต.....ท่านท้าวมัฉจุราชได้เมตตาอย่างเหลือล้น  อนุญาตให้พี่อารีย์ มีชีวิตอยู่เพื่อทำบุญกุศลอีก ๔ ปี.....นับตั้งแต่นั้นมา อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ  จนเธอสามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายนี้ สร้างบุญกุศลได้ดั่งใจ  เธอได้ไปทำบุญกับครอบครัวและญาติพี่น้องตามวัดต่าง ๆ  ไปบวชเนกขัมมะ, ศึกษาพลังจักรวาล, บวชลูกชาย, ทำบุญทอดผ้าป่า ทำบุญทอดกฐิน, ปล่อยชีวิตโค-กระบือ และสัตว์อื่น ๆ  สร้างพระพุทธรูป, สร้างศาลา, สร้างองค์พระแม่กวนอิม, ซื้อที่ดินถวายวัด เรียกว่าทำกุศลกรรมทุกประเภทที่ตามโอกาส จนเป็นอาจิณกรรมก็ว่าได้ เพราะเหตุว่าเธอรู้ตัวแล้วว่า  ตนเองมีเวลาจำกัดมาก

ถึงแม้ว่าเธอจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนสารพัด  แต่เธอก็ไม่เคยที่จะทอดทิ้งหน้าที่ภรรยาที่ดี  และหน้าที่แม่ที่ดีของลูก  เธอเป็นที่รักของแม่,พี่ ๆ  และน้อง ๆ  ยามที่เธอเจ็บป่วยหนักทีไร พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ก็จะพากันไปที่กรุงเทพ (พี่อารีย์มีครอบครัวอยูที่กรุงเทพ) มาคอยให้กำลังใจเสมอ.....ชีวิตบั้นปลายของพี่อารีย์ไม่ได้อยู่เป็นที่แน่นอน ต้องเข้า ๆ ออก ๆ อยู่โรงพยายบาลบ้าง  อยู่ที่บ้านบ้าง  แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่โรงพยาบาล  เวลาเธออยู่ที่บ้าน ก็จะพยายามทำงานบ้านเหมือนคนปรกติ ทั้ง ๆ ที่บ้านก็มีคนรับใช้  แต่ก็ชอบทำอะไรเองมากกว่า  เธอเป็นคนใจแข็งมาก บางครั้งมีอาการเจ็บปวดมาก  ก็จะไม่ยอมบอกให้ใครรับรู้ด้วย เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างคิดมาก  นอกจากนั้นยังเป็นคนรักสวยรักงามมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนป่วย  แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองดูน่าเกลียดเหมือนคนป่วย  จะต้องแต่งตัวให้ดูสวยงามอยู่เสมอ

                                                                                                    
                                                                                           ยังมีต่ออีกค่ะ.....