Translate

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระแม่กวนอิมโปรดสรรพสัตว์

นำโม  กวนซีอิม ผู่สัก  ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบทความที่ได้บรรจงเขียนด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์นี้ แด่พระโพธิสัตว์กวนอิมทั้งหมด๘๔ ปาง ต่างเครื่องบูชา ดอกไม้ และธูปเทียน

พระโพธิสัตว์กวนอิมช่วยชีวิตเด็ก

พระแม่กวนอิม ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยมหากรุณาอย่างไม่มีขอบเขต ท่านมีความเมตตาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ยังตกอยู่ในห้วงแห่ง "โอฆะ"  เขาเหล่านั้นยังต้องเวียนเกิดเวียนตาย อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ อันเนื่องมาจากมี "อวิชชา" เป็นเหตุปัจจัย มีความเห็นผิดไปจากความเป็นจริงในขันธ์ ๕ ผู้ใดมีความทุกข์กายทุกข์ใจ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม หากมีสติระลึกเพียงพระนามของท่าน ด้วยความศรัทธา ผู้นั้นก็จะได้รับความเมตตาจากพระแม่กวนอิมอย่างมหัศจรรย์ ดังมีเรื่องเล่าต่อไปนี้

เมื่อปี ค.ศ.2008 วันจันทร์ที่ 7 มกราคม เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ฉันได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาบอกว่า "อาจารย์ช่วยหนูด้วย ลูกชายคนเล็กของหนู ถูกรถชนสมองเละและขาหัก หมอบอกว่าไม่รอด หมอช่วยไม่ได้" เธอพูดไปก็ร้องไห้ฟูมฟายไปด้วย น่าสงสารมาก ฉันเองก็พลอยน้ำตาซึมไปด้วย  เด็กน้อยคนนี้ฉันรู้จักเขาดี เป็นเด็กฉลาดและน่ารัก อายุุ ๖ ขวบ เพิ่งจะไปโรงเรียนอนุบาลเป็นวันแรก วันนั้นฝนตกพรำ ๆ เขาเดินกางร่มไปคนเดียว ขณะข้ามทางม้าลาย ได้มีรถยนต์คันหนึ่ง ขับมาถึงทางม้าลายแล้วลากเอาร่างเด็กน้อยผู้เคราะห์ร้ายนี้ ติดท้องรถไปด้วย โดยที่คนขับไม่รู้สึกเอะใจเลย  ว่ารถชนเด็ก ลากไปไกลถึง ๕๐ เมตร พอดีติดไฟแดง รถจอดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นร้านและเป็นบ้านที่อยู่ของเด็กซึ่งอยู่ชั้นบน  แม่เขาอยู่บนบ้าน  (หน้าร้านข้างในมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ รถคันที่ชนจอดตรงหน้าพระพุทธรูปพอดี คงจะเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูป จึงทำให้เด็กไม่ถูกลากไปไกลกว่านี้) ได้ยินเสียงรถชนเสียงดัง แต่ไม่คิดว่ารถชนลูกตัวเอง

ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ คนขับเริ่มรู้สึกว่าผิดปกติ  จึงได้ลงไปดู ปรากฏว่าเด็กสลบไปแล้วอยู่ใต้ท้องรถ เลือดอาบตัว จึงถูกนำส่งโรงพยาบาลด่วน แม่เด็กทราบข่าวจากเพื่อนที่เห็นเหตุการณ์  เธอบอกว่าขณะที่นั่งรอเพื่อเข้าพบลูกชายที่โรงพยาบาล  เธอได้นึกถึงฉันก่อนใคร เพราะเธอนับถือและศรัทธาพระแม่กวนอิมมาก เธอเป็นสมาชิกของสมาคมไทย-กวนอิมด้วย ฉันเคยไปสอนเขาทั้งครอบครัว ให้สวดมนต์และฝึกทำสมาธิหลายครั้ง จนครอบครัวและร้านอาหารเจริญขึ้นมาก  เธอขอร้องให้ฉันช่วยสื่อกับพระแม่กวนอิมและครูบาอาจารย์ ให้นำชีวิตลูกมาคืนให้เธอด้วย  ฉันก็บอกว่า"ฉันจะลองดูเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้  เอาไว้สัก ๑๐ นาทีค่อยโทรอีกครัง" จากนั้นฉันก็รีบเข้าห้องพระ จุดธูปบอกกล่าวพระแม่กวนอิมและครูบาอาจารย์ให้ทราบว่า บัดนี้ได้มีผู้มีทุกข์มาขอรับการโปรด  พอบอกเสร็จแล้วก็สวดมนต์และนั่งสมาธิถวายท่านก่อน ยังไม่ทันจะทำพิธีอะไรเลย แม่เด็กได้โทรมาก่อนเวลา เธอก็ใจร้อน อยากทราบว่าลูกจะรอดตายหรือไม่  พอดีน้องสาวฉันเป็นคนรับสายก็เป็นตัวแทนฉัน ช่วยให้กำลังใจเธอไปพลาง ๆ ก่อน จนกว่าจะทำพิธีเสร็จ

พระแม่ท่านได้ทำพิธีสวดเรียกวิญญาณเป็นเวลานานกว่าจะได้วิญญาณมา แล้วท่านจึงได้ตอบไปว่า "รอด แน่นอน" เธอก็ถามอีกว่า "รอด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มั้ย" ท่านตอบเหมือนเดิมว่า "๑๐๐ เปอร์เซ็นต์" เธอก็เริ่มมีน้ำเสียงดีขึ้น  หลังจากเสร็จพิธีแล้วฉันตั้งใจว่า จะไปหาแม่เด็กและขอเข้าพบเด็ก  แต่เด็กยังอยู่ในอาการโคม่า พอไปถึงกลางทาง แม่เด็กได้โทรส่งข่าวว่า ลูกชายของเธอ ได้ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลที่เมืองซูริค โดยเฮลิคอปเตอร์ เป็นอันว่าหมอเขายอมรับไว้รักษา  ทีแรกหมอสองคน บอกว่าไม่มีโอกาสรอด มหัศจรรย์จริง ๆ เด็กรอดตายแล้ว ฉันดีใจที่สุดเลย พระแม่ท่านก็นำวิญญาณมาเข้าร่างเด็กให้  แต่เด็กยังไม่ฟื้นง่าย ๆ เพราะอาการสาหัสมาก ใคร ๆ ก็คิดว่าถ้ารอดก็ต้องเป็นคนพิการ เพราะว่าหัวสมองซีกหนึ่งเละ ขาก็หักสองท่อน แต่เด็กคนนี้รอดอย่างไม่น่าเชื่อ เวลา ๓ ทุ่มเศษ ๆ  เด็กเริ่มกระดิกเท้าได้ข้างหนึ่ง แม่เด็กได้ส่งข่าวให้ฉันทราบเป็นระยะ ทางฉันทั้งครอบครัวก็ช่วยกันสวดมนต์และทำสมาธิส่งพลังช่วยเขา  วันรุ่งขึ้นตอนเย็นเขาก็ลืมตาได้ แต่ยังไม่รู้สึกตัว พระแม่กวนอิมท่านก็มาสวดทำพิธีปลุกให้ตื่น ให้ฟื้นจากโคม่า

ในวันที่ ๓ ของโคม่า เขาก็รู้สึกตัวซีกหนึ่งแต่เคลื่อนไหวยังไม่ได้  หมอบอกว่าเด็กจะต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานเป็นปี แม่เด็กก็จะต้องเที่ยวไปเยี่ยมลูกทุกวัน เด็กฟื้นแล้วแต่พูดไม่ได้เป็นเวลาถึงสามเดือน  แม่เด็กจึงได้ขอร้องให้ฉันไปที่โรงพยาบาล  เพื่อที่จะให้พระแม่กวนอิมไปโปรดเด็กอีกครั้งที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนั้นเขาถูกส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก เป็นโรงพยาบาลเฉพาะเด็ก ๆ เท่านั้น  ฉันและสามีได้เดินทางไปกับแม่เด็ก  พอเด็กเห็นฉันครั้งแรก เขายิ้มให้ด้วยความดีใจ แววตาเขาบ่งบอกถึงความดีใจที่ฉันไปเยี่ยม เพราะเขารู้จักฉัน ๆ เคยสอนให้เขาสวดมนต์แบบย่อ ๆ "พุทโธ ธัมโม สังโฆ มาตา ปิตา" เขาสวดได้ก่อนใคร พ่อแม่และพี่ ๆ ยังจำผิด ๆ ถูก ๆ เด็กคนนี้มีความจำดีมาก ฉันถามเด็กว่า "จำป้าได้มั้ย" เขาพยักหน้า ฉันยื่นมือให้เขาจับ  เขาจับมือฉันแน่นไม่ยอมปล่อย เหมือนกับว่าเป็นการสื่อให้รู้ว่า "ช่วยด้วย ๆ"  ฉันจึงได้กำหนดจิต สื่อกับพระแม่กวนอิม ขอให้ท่านทำพิธีเปิดปากให้เด็กน้อยผู้น่าสงสารนี้ด้วยเถิด ท่านได้เสด็จมาโปรดและได้ทำพิธีเปิดปากให้เด็ก  จนในที่สุดเขาก็สามารถพูดได้เป็นปกติในเวลาให้หลังเพียงแค่ ๗ วัน

การรักษาที่สวิตเซอร์แลนด์ หมอสนใจและเอาใจใส่คนไข้ดีมาก เด็กต้องถูกผ่าตัดสมองข้างหนึ่ง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าซีกไหนแน่ และต้องผ่าตัดขา ถึงสองครั้งเพื่อเสริมเหล็กเข้าไป เขาอยูที่โรงพยาบาลไม่ถึงปี  ก็เดินได้และพูดได้เป็นปกติ หมอได้อนุญาตให้เด็กมาพักอยู่ที่บ้าน แล้วเทียวตรวจเช็คเป็นระยะๆ  ด้วยพระมหาเมตตาของพระแม่กวนอิมนี่เอง เด็กน้อยคนนี้จึงได้มีโอกาสคืนชีพ และคงจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่หมดอายุขัย และยังมีบุญเก่าช่วยด้วย  นอกจากนั้นแม่เขาเป็นคนใจบุญชอบทำบุญทำทานและสวดมนต์ภาวนาสมำเสมอ ตามที่ครูบาอาจารย์แนะนำ  ครอบครัวนี้มีความรักและบูชาพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์อย่างสม่ำเสมอ   นำโม กวนซีอิม ผู่สัก

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปรัชญาปารมิตหฤทัยสูตร (ซิม เกง)

ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยปัญญา ได้เผยแพร่เป็นภาษาจีน ในประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๖ โดยพระอาจารย์เฮียงจั่ง หรือพระถังซำจั๋ง ต้นฉบับจริง ๆ เป็นภาษาสันสกฤต พระสูตรนี้คนทั่วไปนิยมเรียกชื่อสั้น ๆ ว่า "พระสูตรหัวใจ" ภาษาจีนเรียกกันว่า "ซิม เกง"  เป็นพระสูตรที่มีอักษรรวมทั้งหมด ๒๖๘ คำ 

ความเป็นมาของพระสูตร "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร"  นับย้อนหลังไปราว ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว สมัยหนึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประทับอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฎ กรุงราชคฤห์ ขณะกำลังเจริญสมาธิชื่อว่า "คัมภีราวสมาธิ"  อยู่ท่ามกลางพระสาวกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ได้ดำริขึ้นว่า "ขันธ์ ๕ เป็นความว่างเปล่าอยู่แล้วตามธรรมชาติ" ได้มีพระอรหันตสาวกองค์หนึ่ง มีนามว่า "พระสารีบุตร" ปรารภขอให้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร โปรดแสดงธรรมเรื่อง "สุญญตา" หรือ "ความว่างเปล่า" ให้แก่บรรดาพระสาวกในที่นั้นได้สดับด้วย จึงเป็นเหตุแห่งการกำเนิดพระสูตรอันมีชื่อ ซึ่งเป็นพระสูตรที่ว่าด้วย "ปัญญาเป็นเครื่องนำพาไปสู่พระนิพพาน"


บทสวด "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร"
มอ ฮอ ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ ซิม เกง.  กวน จือ ใจ ผู่ สัก. ฮัง ชิม ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ ซือ. เจียว เกียน อู วัน ไก คง. ดู อี ไซ คู หงุก. เส ลี จือ เสก ปุก ฮี คง. คง ปุก อี เสก. เสก เจียก ซือ คง" คง เจียก ซือ เสก. เซา เซียง ฮัง เสก. หยิด ฝุก ยู่ ซือ. เส ลี จือ. ซือ จู ฝับ คง เซียง. ปุก เซง ปุก มิก. ปุกเกียว ปุก เจง. ปุก เจง ปุก กำ.
ซือ กู คง จง บู เสก. บู เซา เซียง ฮัง เสก บู งันยือ พี เสก เซง อี. บู เสก เซง เฮียง มี ฉก ฝับ. บู งัน ไก . ไน จี บู อี เสก ไก. บูบู เมง. หยิด บู บู เมง จิน. ไน จี บู เลา ซือ.หยิด บู เลา ซือ จิน. บู คู จิก หมิบ เตา. บู ตี หยิด บู เตก. อี บู ซอ เต๊ก กู. ผู่ ที สัก ตอ. อี ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ กู. ซิม บู ควง ไง. บู ควง ไง กู บู เยา คง ปู. ยิน ลี 
 ติน เตา มง เซียง. กิว เกง นิบ พัน. ชาม ซือ จู ฟู. อี ปอ เย ปอ  ลอ มิก ตอ กู. เตก ออ เนา ตอ. ลอ ซำ เมียว ซาม ผู่ ที. กู ซือ ปอ  แย ปอ ลอ มิก ตอ. ซือ ไต เซง เจา. ซือ ไต เมง เจา. ซอ บู เซียง เจา แนน ชี อี ไช คู. จิน สิด ปุก ฮี. กู ส่วย ปอ เย ปอ ลอ มิก ตอ เจา. เจียก ส่วย เจา หวัก. กิด ตี กิดตี. ปอ ลอ กิด ตี. ปอ ลอ กิด ตี. ปอ ลอ กิด ตี. ปอ ลอ เจง กิด ตี. ผู ที สัก พอ ฮอ.

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์พระแม่กวนอิม

นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก
ตอนโปรดวิญญาณ  เมื่อ ค.ศ.2002 เดือนสิงหาคม (วันที่จำไม่ได้แล้ว) ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อน ฉันและสามีได้รับเชิญ ไปร่วมทำบุญครบ ๗ วัน ของครอบครัวคนไทย-สวิส  ได้สูญเสียลูกสาวสุดที่รัก เธอมีชื่อเล่นว่า "อันจี้" อายุ ๒๐ ปี ตายเพราะถูกข่มขืนในป่า เด็กสาวคนนี้  ฉันเคยรู้จักและได้พูดคุยกับเธอประมาณ  ๓-๔ ครั้ง  ตอนนั้นเธออายุได้ ๗ ขวบ เธอเป็นคนสวยมาก  เพราะเป็นลูกครึ่งไทย-สวิส  มารดาเป็นอดีตนางสาวไทยเข้ารอบ ๑๐ คน  เนื่องด้วยอกุศลวิบากกรรมของผู้เป็นมารดาส่งผล  ในช่วงนั้นหนูอันจี้เพิ่งอายุได้ขวบกว่า ๆ มารดาของเธอ ได้ถูกตำรวจลับที่สนามบินของประเทศเยอรมันจับได้ ขณะที่กำลังลักลอบ  นำของผิดกฎหมายเข้าประเทศ  ทางการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงได้เอาหนูอันจี้ผู้น่าสงสารคนนี้  ไปเลี้ยงไว้  เพราะเหตุว่าบิดาของเธอ ก็โดนอกุศลวิบาก  เล่นงานหนักเช่นกัน เป็นคนติดยา ติดบุหรี่ และอัลโกฮอล ต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลอย่างจริงจัง  ลูกสาวจึงตกอยู่ในความดูแล ของทางการ  จนกระทั่งอายุเข้าเกณฑ์การศึกษา คืออายุ ๖ ขวบ ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล   เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ เธอจึงได้กลับไปอยู่กับบิดาของตน  ส่วนมารดาของเธอนั้น  เธอไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ข่าวอีกเลย จนกระทั่งตายจากกัน
       
บ่ายวันหนึ่งราว ๆ  ปลายเดือนสิงหาคม  บิดาของอันจี้ ได้นำกระดูกของเธอไปที่วัดไทย เพื่อให้พระสงฆ์ทำพิธีสวดอุทิศส่วนบุญ ให้แก่วิญญาณของอันจี้  มีแฟนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอไปร่วมพิธีหลายคน  วันนั้นฉันกับสามีได้พบกับบิดาของอันจี้   หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี  ดูเขาเปลี่ยนไปมาก  จนแทบจำไม่ได้ พอทราบการตายของอันจี้จากบิดาเธอ  เรารู้สึกสลดใจมาก  เพราะไม่คิดว่า เธอจะจบชีวิตลงแบบโหดร้ายเช่นนี้  ชีวิตเธอตั้งแต่เด็กก็หนักพออยู่แล้ว และยังจะต้องมาเสียชีวิตตอนอายุยังน้อย ๆ อยู นี่แหละ "สัจจะธรรม" ของจริงแท้ที่ไม่มีผู้ใดบนโลกนี้จะเลี่ยงได้เลย และไม่มีผู้ใดสามารถอยู่เหนือ "กฎไตรลักษณ์" ได้เลยเช่นกัน นอกจากพระอรหันต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านตัดกิเลสได้หมดแล้ว

ทีนี้ก็จะเข้าสู่ตอนตื่นเต้นกันล่ะ  ในระหว่างที่พระสงฆ์กำลังสวดมนต์  เจ้าภาพและแขกผู้มาร่วมพิธี ทุกท่านต่างก็นั่งอยู่ในอาการสงบสำรวม  แต่ฉันซึ่งเป็นแขกคนไทยคนเดียวในที่นั้น  ไม่สงบเลย รู้สึกมีอะไรไม่ทราบ  เป็นเหมือนลมแน่น ๆ อยู่ในอก  แน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ   จนในที่สุดอ่อนแรง  ไม่สามารถนั่งพนมมือได้เลย จึงได้เอนกายแปะข้าง ๆ สามีไว้ เพราะว่าจะเป็นลมให้ได้  สามีฉันเขาก็คงจะตกใจ แต่เขาไม่แสดงออก  สักครู่หนึ่งฉันก็มีแรงอย่างบอกไม่ถูก  จิตเห็นเหมือนว่าร่างกายตัวเองสูงใหญ่ หน้าตาสวยแบบคนจีน ผิวขาวมากจนซีด ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงออกมาอย่างดัง  ตกใจมาก เอ๊ะ..นี่ไม่ใช่เสียงเรา ฉันทราบว่าไม่ใช่เสียงของฉันแน่  เสียงพระสวดมนต์ก็หยุดชะงักทันทีทันใด  จากนั้นก็มีเสียงพูดเป็นภาษาจีน แล้วแถมมีการแปล เป็นภาษาเยอรมันด้วย    ทุกคนตกตะลึก ทั้งพระและฆราวาสต่างเงียบสงัด  เหมือนโดนมนต์สะกดไปชั่วขณะ  พอจะจับใจความคำพูดได้ว่า "นี่คือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาช่วยแล้ว อันจี้ ๆ ๆ เข้ามานี่ มากราบพระประธาน กราบพระสงฆ์ แล้วไปกราบเท้าบิดาด้วย กราบขอขมาเขาด้วย ที่เคยล่วงเกินเขาเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่" ขณะนั้นอยู่ ๆ  ก็มีเด็กสาววัยราว ๒๐ ปีเศษ ๆ คนหนึ่งมานั่งที่หน้าประตูแล้วก็รีบลุกไป  คิดว่าวิญญาณอันจี้  คงจะอาศัยร่างของผู้หญิงคนนี้ เข้ามาในวัด หลังจากนั้นพระท่านก็สวดมนต์ต่อจนจบ  พอพระเริ่มสวดฉันก็รู้สึกตัวเป็นปกติ พอเสร็จพิธีแล้ว  ฉันก็เข้าไปกราบขอขมาท่านเจ้าอาวาสวัด ๆ  ก็ขำหัวเราะแล้วถามฉันว่า "โยมเป็นอะไร" ฉันก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน  พวกฝรั่งเขาคงคิดว่าฉันสามารถเข้าทรางได้มั้ง เปล่าเลยนะ  พวกเขาพากันซักถามเรื่องเกี่ยวกับอันจี้กันใหญ่  ฉันก็ได้แต่ตอบให้กำลังใจเขาว่า "อันจี้ไปดีแล้ว ไม่ต้องห่วง" พวกเขาก็ขอบคุณและดูสีหน้ามีความสบายใจขึ้นกว่าก่อน  ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้ มันเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ทราบว่าเกิดได้อย่างไร  ฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่ององค์หรือเรื่องการทรงเจ้าอะไรท้ังนั้น ขันครูก็ไม่เคยรู้เรื่อง หมอดูหมอเดาฉันไม่เอาเลย ฉันชอบฝึกสมาธิ ฝึกสติเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สงบสะอาด เบิกบาน เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง วันนั้นฉันงงอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง มีแต่คำถามว่า"ทำไมถึงต้องเป็นเรา" แต่ก็ยังไม่มีคำตอบสักที

เรื่องของอันจี้ยังไม่จบแค่ที่วัด   ยังมีภาค ๒ อีก ตอนเย็นวันเดียวกัน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม อยู่ดี ๆ ฉันไม่ทราบตนเองเป็นอะไร  เสียใจนั่งร้องไห้คนเดียว  พอมีสติระลึกรู้ตัว จิตก็สามารถแยกความรู้สึกได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ "จิต" ของเรานี่ จิตนี้เป็นจิตที่เศร้าหมองและเสียใจมาก ๆ  ฉันไม่สามารถต้านทานจิตแฝง  เพราะจิตยังไม่มีพลังแก่กล้าพอ จึงคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ฉันก็ปล่อยให้เขาพูดออกมา เผื่อเราจะช่วยเขาได้บ้าง เขาก็พูดแนะนำตนเองว่า "ฉันคืออันจี้"  พอได้ยินเสียงพูดเท่านั้นแหละ  จิตฉันคิดทันทีว่า " เอาแล้วซิเรา..ผีตามมาจนได้"  งั้นก็ดูกันต่อไป และแล้วเธอก็พูดต่อไปว่า ขอให้ฉันช่วยโทรหาพ่อเขาให้ด้วย ฉันก็โทรไป แต่ว่าพ่อเขาคงไม่อยู่ อันจี้ขอร้องให้โทรอีกครั้ง เธอบอกว่า พ่อของเธอเข้าห้องน้ำอยู่  ตอนนี้โทรได้แล้ว  พอโทรไปก็เจอตัวตามที่เธอบอก  แล้วอันจี้ก็ร้องไห้ทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อเขา ๆ จำเสียงลูกสาวได้ก็พลอยเสียงเครือไปด้วย  คงจะตื่นเต้นดีใจและนึกไม่ถึงว่า สมัยใหม่นี้  คนคุยกับวิญญาณได้  แล้วอันจี้ก็อ้อนกินพีซซ่าอาหารโปรดของเธอ  และอยากได้ชุดโปรดสีชมพูด้วย  เธอบอกกับพ่อว่า เธอหิวมากและก็หนาวมากด้วย  เพราะว่าตอนตายเธอถูกเปลือยกายหมด  พ่อเขาก็บอกว่าจะรีบจัดการให้  พออันจี้ได้คุยกับพ่อของเธอเป็นที่พอใจแล้ว เธอก็ขอบคุณฉันแล้วก็ลาจากไป  ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่มาปรากฏอีกเลย  เธอคงจะไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้ว เรื่องการโปรดวิญญาณของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ก็ขอจบเพียงแค่นี้  นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก

เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้เราท่านทั้งหลาย  พึงระลึกเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อเสวยวิบาก (ผลของกรรม)ที่ตนได้กระทำไว้แล้วในอนันตชาติ เราเกืดมาเพื่อศึกษาพระธรรมและทำกรรมดี  ไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า "วิบากกรรม" และไม่มีใครรับเสวยวิบากแทนเราได้  ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท