เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตอนเช้าฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณอรุณ เล่าว่าก่อนหน้านี้เธอได้รับโทรศัพท์จากพี่เขยแจ้งว่า พี่อารีย์อาการหนักมากไม่รู้สึกตัว ถ้าจะไปดูใจ ก็ให้รีบไป ตอนนี้นอนอยู่ที่ห้องไอซียู.... คุณอรุณได้ขอร้อง ให้ฉันช่วยถามครูบาอาจารย์ให้ด้วย ว่าพี่สาวเธอมีทางจะรอดไหม หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ฉันก็ได้รีบสื่อถามครูบาอาจารย์โดยเร็ว....ครูบาอาจารย์ได้บอกว่า "หมดเวลาของอารีย์แล้ว" ถามท่านว่า "ขอต่ออีกได้ไหมคะ" ท่านตอบว่า "ไม่ได้" เป็นอันว่าพี่อารีย์หมดอายุในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ท่านก็ไม่บอกให้ทราบ ว่าจะหมดอายุเวลาไหนวันไหน แต่ก็บอกให้ทราบกันไว้ เพื่อที่จะได้เตรียมใจและยอมรับตามความเป็นจริง
เมื่อคุณอรุณได้ทราบว่า พี่สาวจะต้องจากเธอไปอย่างแน่นอน เพราะหมดเวลาของเขาแล้ว....เธอจึงตัดสินใจลาหยุดงานเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ เพื่อที่จะไปอยู่ปรนนิบัติพี่สาวคนโปรด เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเธอเดินทางถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางตรงไปที่โรงพยาบาล ที่พี่สาวพักอยู่ ตอนนั้น
พี่อารีย์พักอยู่ที่ห้องพิเศษ คุณอรุณได้ไปปรนนิบัติพี่ ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำ ล้างทำความสะอาดเนื้อตัวให้ และนอกจากนั้น ยังพาพี่สาวสวดมนต์ ฟังธรรมะและเดินจงกรมทุกวันด้วย พี่สาวก็มีอาการดีขึ้น พูดคุยกันรู้เรื่อง คุณอรุณกับพี่สาวคนนี้ รักและสนิทสนมกันมาก หลังจากไปอยู่ที่โรงพยาบาลกับพี่สาวได้ ๑ สัปดาห์ผ่านไป พี่สาวก็แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนเธอคิดว่าพี่สาว คงจะอยู่ได้อีกนาน
ในเวลาต่อมา พี่อารีย์ได้ขออนุญาตหมอ ขอกลับไปอยู่ที่บ้าน พอไปถึงบ้านก็อยากจะได้ทีวีเครื่อง
ใหญ่กว่าเดิม จะได้ดูภาพเห็นชัด ๆ เพราะตามองไม่ค่อยเห็น แต่ลูกชายไม่ยอมซื้อให้ เธอก็คงจะน้อยใจลูกชายบ้าง ในวันต่อมาเธอบ่นอยากจะกินปลานึ่ง สามี,ลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมด้วยคุณอรุณ ก็ได้พาเธอไปช๊อปปิ้งกัน หลังจากที่ได้ไปซื้อของตามที่เธอต้องการแล้ว ยังได้ไปเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างทำผม ทำเล็บให้ดูสวยงาม เอาชุดไทยไปให้ช่างช่วยแก้ไขให้ เตรียมจะไว้ใส่ไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่ ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง พี่อารีย์ได้ไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและน้องสาวที่ร้านอาหาร ซึ่งไม่มีใครทราบล่วงหน้าเลยว่า จะเป็นการรับประทานอาหารครั้งสุดท้ายร่วมกัน....นี่แหละค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การเกิดดับไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย
หลังจากที่พี่อารีย์และครอบครัวรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ได้กลับไปพักที่บ้าน.....เวลาประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ๆ ได้เข้านอนและเธออยากจะเข้าห้องน้ำ สามีจึงได้อุ้มเธอ แต่บังเอิญหลุดมือ เธอเลยตกลงไปนอนกับพื้น อาการโรคกำเริบหนักอย่างรวดเร็ว สามีจึงได้เรียกรถจากโรงพยาบาลรับเธอด่วน เธอก็ได้กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้งหนึ่ง สามีและลูกชายรวมทั้งคุณอรุณ เฝ้าอยู่ที่นั่นเพื่อให้กำลังใจเธอตลอดทั้งคืน ส่วนญาติพี่น้องทุกคนที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ได้ทยอยกันมาเฝ้าดูใจ
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม เวลาประมาณ ๗ นาฬิกา ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณอรุณ โทรมาจากโรงพยาบาล บอกว่าพี่อารีย์ขณะนี้อยู่ท่ี่โรงพยาาบาล เธอกลับเข้าห้องไอซียูอีกแล้ว หลังจากกลับไปอยู่บ้านได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นก็มีอาการหนัก หมอบอกว่าไม่รอดแน่นอน จึงได้โทรมาเพื่อให้ครูบาอาจารย์ช่วยสวดมนต์ทำพิธีส่งวิญญาณให้ด้วย....ฉันก็ได้สื่อเรียนให้พระแม่กวนอิมทราบว่า พี่อารีย์คงไม่รอดวันนี้แน่ แต่ที่จริงท่านก็ทราบกันก่อนแล้วล่ะ ท่านบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีสวด และได้กำหนดเวลาที่พี่อารีย์จะสิ้นลมหายใจ แล้วท่านยังบอกว่า พี่อารีย์จะต้องมาที่สมาคมไทย-กวนอิมก่อน แล้วจึงจะไปสู่สถานที่ตัดสินกรรม....เวลา ๒๑.๒๐ น.(เวลาของสวิตเซอร์แลนด์) พระแม่กวนอิมได้บอกกับฉันว่า "อีก ๒๐ นาที อารีย์จะสิ้นลมหายใจ"
เวลา ๒๑.๒๙ น. ฉันได้เริ่มจุดธูป ๕ ดอก เทียน ๔ เล่ม.....พระแม่กวนอิม ๘๔ ปางรวมพลังสวดมนต์เป็นภาษาจีนโบราณเสียงโหยหวนมาก....ในพิธีนี้ก็มีสามีฉัน, ลูกชายและน้องสาวนั่งร่วมอยู่ด้วย ทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบ เหมือนถูกสะกดด้วยมนต์คาถา....ท่านปู่อุปคุตได้มาช่วยงานท่านแม่กวนอิม และได้ช่วยทำพิธีเปิดพลังคอสมิคให้กับวิญญาณด้วย เพื่อที่จะให้วิญญาณออกจากสถานที่โรงพยาบาลได้ พอออกมาได้ ยมทูตก็ได้พาพี่อารีย์ตรงไปที่สมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์ทันที (ก่อนสิ้นใจคุณอรุณได้บอกพี่สาวว่าให้ไปที่สมาคมก่อน) พอมาถึงสมาคม เธอได้ขอน้ำดื่มก่อนอื่น เพราะกระหายน้ำมากก่อนตาย จากนั้นจึงได้ก้มลงกราบท่านแม่กวนอิมอย่างนอบน้อม ขอบพระคุณท่านแม่กวนอิมและครูบาอาจารย์ทุกท่าน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณฉันและครอบครัวด้วย ที่ได้ให้กำลังใจเธอมาตลอด....น้องสาวฉันได้มองเห็นหน้าตา และรูปร่างของพี่อารีย์อย่างชัดเจน พี่อารีย์ดูซูบผอมมาก คงเป็นเพราะว่าป่วยมาเป็นเวลานาน
ขอเล่าย้อนหลังถึงตอนที่พี่อารีย์ก่อนจะสิ้นใจ....ก็มีคุณอรุณผู้เดียวที่มีสติระลึกได้ว่า ในขณะนั้นควรทำอะไร เพื่อที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่พี่สาวของเธอ.....เธอได้บอกกับพี่สาวว่า ให้นึกตามที่เธอพูดทุกคำ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ให้ตัดความห่วงใยทั้งหมด พี่อารีย์ก็พยักหน้ารับรู้ ขณะนั้นพี่อารีย์แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทวารทั้ง ๖ จวนจะปิดหมดแล้ว....คุณอรุณได้กล่าวถึงบุญทานทุกชนิดที่พี่สาวได้กระทำไว้ กล่าวจนครบหมดแล้ว จึงได้สวดมนต์ให้ฟัง ตอนนั้นพี่อารีย์อยู่ในอาการสงบ สามีและลูกชายก็เข้าไปโอบกอด ร้องไห้รำพึงรำพันกับเธอไม่อยากให้เธอจากไป แต่เธอก็ใจแข็ง นอนหันหลังให้ เธอได้รอจนกระทั่งน้องชายคนเล็กไปถึง เมื่อญาติพี่น้องทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว.....เธอจึงได้จากทุกคนไปด้วยอาการสงบ....การที่พี่อารีย์ป่วยหนัก และได้รับการต่ออายุให้อยู่ได้อีก ๔ ปี ก็ด้วยอานิสงส์จากกุศลกรรม ที่เธอได้มุ่งบำเพ็ญด้วยศรัทธาแรงกล้า.....เธอจึงโชคดี มีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดถึง ๒ เดือน...ทุกชีวิตหนีไม่พ้น "มัฉจุราชแห่งความตาย" หนีไม่พ้น "กฏไตรลักษณ์" ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยังทีต่ออีกค่ะ......
เมื่อคุณอรุณได้ทราบว่า พี่สาวจะต้องจากเธอไปอย่างแน่นอน เพราะหมดเวลาของเขาแล้ว....เธอจึงตัดสินใจลาหยุดงานเป็นเวลา ๒ สัปดาห์ เพื่อที่จะไปอยู่ปรนนิบัติพี่สาวคนโปรด เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเธอเดินทางถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางตรงไปที่โรงพยาบาล ที่พี่สาวพักอยู่ ตอนนั้น
พี่อารีย์พักอยู่ที่ห้องพิเศษ คุณอรุณได้ไปปรนนิบัติพี่ ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำ ล้างทำความสะอาดเนื้อตัวให้ และนอกจากนั้น ยังพาพี่สาวสวดมนต์ ฟังธรรมะและเดินจงกรมทุกวันด้วย พี่สาวก็มีอาการดีขึ้น พูดคุยกันรู้เรื่อง คุณอรุณกับพี่สาวคนนี้ รักและสนิทสนมกันมาก หลังจากไปอยู่ที่โรงพยาบาลกับพี่สาวได้ ๑ สัปดาห์ผ่านไป พี่สาวก็แข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนเธอคิดว่าพี่สาว คงจะอยู่ได้อีกนาน
ในเวลาต่อมา พี่อารีย์ได้ขออนุญาตหมอ ขอกลับไปอยู่ที่บ้าน พอไปถึงบ้านก็อยากจะได้ทีวีเครื่อง
ใหญ่กว่าเดิม จะได้ดูภาพเห็นชัด ๆ เพราะตามองไม่ค่อยเห็น แต่ลูกชายไม่ยอมซื้อให้ เธอก็คงจะน้อยใจลูกชายบ้าง ในวันต่อมาเธอบ่นอยากจะกินปลานึ่ง สามี,ลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมด้วยคุณอรุณ ก็ได้พาเธอไปช๊อปปิ้งกัน หลังจากที่ได้ไปซื้อของตามที่เธอต้องการแล้ว ยังได้ไปเข้าร้านเสริมสวยให้ช่างทำผม ทำเล็บให้ดูสวยงาม เอาชุดไทยไปให้ช่างช่วยแก้ไขให้ เตรียมจะไว้ใส่ไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของน้องสาวคนเล็ก ซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่ ในเย็นวันเดียวกันนั่นเอง พี่อารีย์ได้ไปรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและน้องสาวที่ร้านอาหาร ซึ่งไม่มีใครทราบล่วงหน้าเลยว่า จะเป็นการรับประทานอาหารครั้งสุดท้ายร่วมกัน....นี่แหละค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การเกิดดับไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย
หลังจากที่พี่อารีย์และครอบครัวรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ได้กลับไปพักที่บ้าน.....เวลาประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ๆ ได้เข้านอนและเธออยากจะเข้าห้องน้ำ สามีจึงได้อุ้มเธอ แต่บังเอิญหลุดมือ เธอเลยตกลงไปนอนกับพื้น อาการโรคกำเริบหนักอย่างรวดเร็ว สามีจึงได้เรียกรถจากโรงพยาบาลรับเธอด่วน เธอก็ได้กลับเข้าห้องไอซียูอีกครั้งหนึ่ง สามีและลูกชายรวมทั้งคุณอรุณ เฝ้าอยู่ที่นั่นเพื่อให้กำลังใจเธอตลอดทั้งคืน ส่วนญาติพี่น้องทุกคนที่อยู่ต่างจังหวัด ก็ได้ทยอยกันมาเฝ้าดูใจ
วันอาทิตย์ที่ ๑๙ ตุลาคม เวลาประมาณ ๗ นาฬิกา ฉันได้รับโทรศัพท์จากคุณอรุณ โทรมาจากโรงพยาบาล บอกว่าพี่อารีย์ขณะนี้อยู่ท่ี่โรงพยาาบาล เธอกลับเข้าห้องไอซียูอีกแล้ว หลังจากกลับไปอยู่บ้านได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นก็มีอาการหนัก หมอบอกว่าไม่รอดแน่นอน จึงได้โทรมาเพื่อให้ครูบาอาจารย์ช่วยสวดมนต์ทำพิธีส่งวิญญาณให้ด้วย....ฉันก็ได้สื่อเรียนให้พระแม่กวนอิมทราบว่า พี่อารีย์คงไม่รอดวันนี้แน่ แต่ที่จริงท่านก็ทราบกันก่อนแล้วล่ะ ท่านบอกว่าคืนนี้จะทำพิธีสวด และได้กำหนดเวลาที่พี่อารีย์จะสิ้นลมหายใจ แล้วท่านยังบอกว่า พี่อารีย์จะต้องมาที่สมาคมไทย-กวนอิมก่อน แล้วจึงจะไปสู่สถานที่ตัดสินกรรม....เวลา ๒๑.๒๐ น.(เวลาของสวิตเซอร์แลนด์) พระแม่กวนอิมได้บอกกับฉันว่า "อีก ๒๐ นาที อารีย์จะสิ้นลมหายใจ"
เวลา ๒๑.๒๙ น. ฉันได้เริ่มจุดธูป ๕ ดอก เทียน ๔ เล่ม.....พระแม่กวนอิม ๘๔ ปางรวมพลังสวดมนต์เป็นภาษาจีนโบราณเสียงโหยหวนมาก....ในพิธีนี้ก็มีสามีฉัน, ลูกชายและน้องสาวนั่งร่วมอยู่ด้วย ทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบ เหมือนถูกสะกดด้วยมนต์คาถา....ท่านปู่อุปคุตได้มาช่วยงานท่านแม่กวนอิม และได้ช่วยทำพิธีเปิดพลังคอสมิคให้กับวิญญาณด้วย เพื่อที่จะให้วิญญาณออกจากสถานที่โรงพยาบาลได้ พอออกมาได้ ยมทูตก็ได้พาพี่อารีย์ตรงไปที่สมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์ทันที (ก่อนสิ้นใจคุณอรุณได้บอกพี่สาวว่าให้ไปที่สมาคมก่อน) พอมาถึงสมาคม เธอได้ขอน้ำดื่มก่อนอื่น เพราะกระหายน้ำมากก่อนตาย จากนั้นจึงได้ก้มลงกราบท่านแม่กวนอิมอย่างนอบน้อม ขอบพระคุณท่านแม่กวนอิมและครูบาอาจารย์ทุกท่าน พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณฉันและครอบครัวด้วย ที่ได้ให้กำลังใจเธอมาตลอด....น้องสาวฉันได้มองเห็นหน้าตา และรูปร่างของพี่อารีย์อย่างชัดเจน พี่อารีย์ดูซูบผอมมาก คงเป็นเพราะว่าป่วยมาเป็นเวลานาน
ขอเล่าย้อนหลังถึงตอนที่พี่อารีย์ก่อนจะสิ้นใจ....ก็มีคุณอรุณผู้เดียวที่มีสติระลึกได้ว่า ในขณะนั้นควรทำอะไร เพื่อที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่พี่สาวของเธอ.....เธอได้บอกกับพี่สาวว่า ให้นึกตามที่เธอพูดทุกคำ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ให้ตัดความห่วงใยทั้งหมด พี่อารีย์ก็พยักหน้ารับรู้ ขณะนั้นพี่อารีย์แทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ทวารทั้ง ๖ จวนจะปิดหมดแล้ว....คุณอรุณได้กล่าวถึงบุญทานทุกชนิดที่พี่สาวได้กระทำไว้ กล่าวจนครบหมดแล้ว จึงได้สวดมนต์ให้ฟัง ตอนนั้นพี่อารีย์อยู่ในอาการสงบ สามีและลูกชายก็เข้าไปโอบกอด ร้องไห้รำพึงรำพันกับเธอไม่อยากให้เธอจากไป แต่เธอก็ใจแข็ง นอนหันหลังให้ เธอได้รอจนกระทั่งน้องชายคนเล็กไปถึง เมื่อญาติพี่น้องทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว.....เธอจึงได้จากทุกคนไปด้วยอาการสงบ....การที่พี่อารีย์ป่วยหนัก และได้รับการต่ออายุให้อยู่ได้อีก ๔ ปี ก็ด้วยอานิสงส์จากกุศลกรรม ที่เธอได้มุ่งบำเพ็ญด้วยศรัทธาแรงกล้า.....เธอจึงโชคดี มีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดถึง ๒ เดือน...ทุกชีวิตหนีไม่พ้น "มัฉจุราชแห่งความตาย" หนีไม่พ้น "กฏไตรลักษณ์" ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยังทีต่ออีกค่ะ......