สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน.....เราพบกันอีกเช่นเค่ะ ขอขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ที่ติดตามอ่านบทความมาโดยตลอด รวมทั้งท่านผู้มาใหม่ด้วยจ๊ะ.....มีหลายท่านในต่างประเทศ หลายประเทศที่สนใจติดตามอ่านบทความในเว็ปไซด์ของสมาคมไทย-กวนอิม (ปาฏิหาริย์พระโพธิสัตว์กวนอิม) มาต้้งแต่เรื่องแรก ก็ขอฝากขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ.....วันนี้ก็มีเรื่องจริงที่น่ารู้น่าสนใจมาเล่าสู้กันฟังอีก เป็นเรื่องของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง มีนามว่า "อารีย์ ศรีอุมา" เธอเป็นสมาชิกของสมาคมไทย -กวนอิม, สวิตเซอร์แลนด์ ได้ประมาณ ๕ ปี บัดนี้เธอได้จากพวกเราไปแล้ว ไปสู่ความเป็นบุคคลใหม่ในภพภูมิใหม่ที่ดีและที่งดงามละเอียดกว่าภูมิเดิม....ขอเชิญติดตามเรื่องราวของ "เทพธิดาอารีย์" ตามอัธยาสัยจ๊ะ
เมื่อวันพุธที่ ๒๑ กันยายน ที่ผ่านมานี้ เวลาประมาณตี ๑ ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันเพิ่งจะเข้านอน พอเริ่มจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิด และมีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วมาหยุดยืนที่ข้างเตียงด้านที่ฉันนอน.....ฉันจึงได้กำหนดจิต แล้วสื่อถามไปว่า "ท่านเป็นใคร ต้องการอะไรหรือค่ะ" รู้สึกว่า แขกผู้ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ มารยาทดีมากทีเดียว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า "ขอโทษนะคะ ที่มารบกวนตอนดึก นี่เทพธิดาอารีย์ค่ะ" ฉันถาม "มีอะไรจะให้ช่วยหรือคะ" เธอตอบว่า "เทพธิดาอารีย์มาขอความเมตตาจากคุณแมว ขอให้ช่วยเขียนบทความ เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตการเจ็บป่วย และชีวิตหลังการตาย ตามที่เคยมาเล่าให้ฟังแล้ว เพื่อให้ชาวโลกได้ทราบว่า โลกหน้ามีจริง สวรรค์และนรกมีจริง กรรมและผลของกรรมมีจริง ไม่ควรใช้ชีวิตกันอย่างประมาท" พอได้ฟังเธอพูดจบแล้ว ฉันรู้สึกปลื้มในความคิดของเธอ ที่มีความเมตตากรุณา ยังเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของญาติพี่น้อง และเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ที่ยังหลงและติดข้องอยู่ในกามโลก ไม่รู้จักบุญบาปเป็นอย่างไร.....ฉันจึงได้ตอบตกลงทันที ว่าจะเขียนบทความให้ตามคำขอ เธอดีใจมากและได้กล่าวขอบคุณ และบอกว่าไม่อยากรบกวนฉันมากนัก เพราะว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว เธอได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับฉันด้วย ที่ได้พิมพ์บทความเผยแผ่ธรรมะเป็นธรรมทาน....แล้วเธอก็ขอลากลับสู่ภูมิภพของเธอ
ฉันได้รู้จักพี่อารีย์ ก็เพราะว่าเธอเป็นพี่สาวของคุณอรุณ ซันทุคซี (รองประธานสมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) เคยเห็นเธอครั้งหนึ่งกับพวกน้อง ๆ ของเธอที่จังหวัดพิษณุโลก เธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง สามีของเธอรับราชการทหาร มียศระดับใหญ่และมีลูกชายด้วยกัน ๑ คน.....เธอเริ่มไม่สบายด้วยมีมือสั่นผิดปรกติบ่อย ๆ จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็ค ผลปรากฏว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ หมอสั่งให้ผ่าตัด หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว ได้ติดเชื้อไวรัสซีลงตับ ต่อมาได้มีอาการโรคใหม่แทรกซ้อน เธอไม่สามารถดื่มนมได้เหมือนเมื่อก่อน พอดื่มนมแล้วรู้สึกอืดและแน่นท้องมาก จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็คสุขภาพอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งตับ จึงได้รับการรักษา ด้วยการฉายรังสีเป็นระยะ หลังจากนั้นต่อมาก็มีโรคเบาหวานแทรกซ้อนเพิ่มอีก ๑ โรค มีอาการตาเหลืองและบวม ไม่มีเรี่ยวแรง....ในช่วงที่พี่อารีย์ป่วยหนักนี้ คุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน ให้ช่วยสื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์ตรวจกรรมให้ด้วย ครูบาอาจารย์ได้แนะนำว่า ให้พี่อารีย์ไปทำบุญทำทาน และทำสังฆทานให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เป็นระยะ ๆ อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอมีอาการหนักแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะอาการของโรคกำเริบหนักมาก คุุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน สื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์เมตตาโปรดพี่อารีย์ด้วย ฉันจึงได้สื่อกับท่านท้าวเวสสุวรรณ เพื่อให้ท่านเมตตา ช่วยตรวจดูบัญชีชีวิตของนางอารีย์ ศรีอุราม ว่าเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าหมดอายุแล้ว ฉันจึงได้ขอท่านโปรดเมตตาด้วย ขอให้พี่อารีย์ได้มีโอกาส มีอายุอยู่ต่อสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะได้ทำบุญทำทาน ให้พร้อมก่่อนที่จะสิ้นชีวิต.....ท่านท้าวมัฉจุราชได้เมตตาอย่างเหลือล้น อนุญาตให้พี่อารีย์ มีชีวิตอยู่เพื่อทำบุญกุศลอีก ๔ ปี.....นับตั้งแต่นั้นมา อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอสามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายนี้ สร้างบุญกุศลได้ดั่งใจ เธอได้ไปทำบุญกับครอบครัวและญาติพี่น้องตามวัดต่าง ๆ ไปบวชเนกขัมมะ, ศึกษาพลังจักรวาล, บวชลูกชาย, ทำบุญทอดผ้าป่า ทำบุญทอดกฐิน, ปล่อยชีวิตโค-กระบือ และสัตว์อื่น ๆ สร้างพระพุทธรูป, สร้างศาลา, สร้างองค์พระแม่กวนอิม, ซื้อที่ดินถวายวัด เรียกว่าทำกุศลกรรมทุกประเภทที่ตามโอกาส จนเป็นอาจิณกรรมก็ว่าได้ เพราะเหตุว่าเธอรู้ตัวแล้วว่า ตนเองมีเวลาจำกัดมาก
ถึงแม้ว่าเธอจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนสารพัด แต่เธอก็ไม่เคยที่จะทอดทิ้งหน้าที่ภรรยาที่ดี และหน้าที่แม่ที่ดีของลูก เธอเป็นที่รักของแม่,พี่ ๆ และน้อง ๆ ยามที่เธอเจ็บป่วยหนักทีไร พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ก็จะพากันไปที่กรุงเทพ (พี่อารีย์มีครอบครัวอยูที่กรุงเทพ) มาคอยให้กำลังใจเสมอ.....ชีวิตบั้นปลายของพี่อารีย์ไม่ได้อยู่เป็นที่แน่นอน ต้องเข้า ๆ ออก ๆ อยู่โรงพยายบาลบ้าง อยู่ที่บ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่โรงพยาบาล เวลาเธออยู่ที่บ้าน ก็จะพยายามทำงานบ้านเหมือนคนปรกติ ทั้ง ๆ ที่บ้านก็มีคนรับใช้ แต่ก็ชอบทำอะไรเองมากกว่า เธอเป็นคนใจแข็งมาก บางครั้งมีอาการเจ็บปวดมาก ก็จะไม่ยอมบอกให้ใครรับรู้ด้วย เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างคิดมาก นอกจากนั้นยังเป็นคนรักสวยรักงามมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนป่วย แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองดูน่าเกลียดเหมือนคนป่วย จะต้องแต่งตัวให้ดูสวยงามอยู่เสมอ
ยังมีต่ออีกค่ะ.....
เมื่อวันพุธที่ ๒๑ กันยายน ที่ผ่านมานี้ เวลาประมาณตี ๑ ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันเพิ่งจะเข้านอน พอเริ่มจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนเปิด และมีเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วมาหยุดยืนที่ข้างเตียงด้านที่ฉันนอน.....ฉันจึงได้กำหนดจิต แล้วสื่อถามไปว่า "ท่านเป็นใคร ต้องการอะไรหรือค่ะ" รู้สึกว่า แขกผู้ไม่ได้รับเชิญท่านนี้ มารยาทดีมากทีเดียว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า "ขอโทษนะคะ ที่มารบกวนตอนดึก นี่เทพธิดาอารีย์ค่ะ" ฉันถาม "มีอะไรจะให้ช่วยหรือคะ" เธอตอบว่า "เทพธิดาอารีย์มาขอความเมตตาจากคุณแมว ขอให้ช่วยเขียนบทความ เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตการเจ็บป่วย และชีวิตหลังการตาย ตามที่เคยมาเล่าให้ฟังแล้ว เพื่อให้ชาวโลกได้ทราบว่า โลกหน้ามีจริง สวรรค์และนรกมีจริง กรรมและผลของกรรมมีจริง ไม่ควรใช้ชีวิตกันอย่างประมาท" พอได้ฟังเธอพูดจบแล้ว ฉันรู้สึกปลื้มในความคิดของเธอ ที่มีความเมตตากรุณา ยังเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของญาติพี่น้อง และเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ที่ยังหลงและติดข้องอยู่ในกามโลก ไม่รู้จักบุญบาปเป็นอย่างไร.....ฉันจึงได้ตอบตกลงทันที ว่าจะเขียนบทความให้ตามคำขอ เธอดีใจมากและได้กล่าวขอบคุณ และบอกว่าไม่อยากรบกวนฉันมากนัก เพราะว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว เธอได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับฉันด้วย ที่ได้พิมพ์บทความเผยแผ่ธรรมะเป็นธรรมทาน....แล้วเธอก็ขอลากลับสู่ภูมิภพของเธอ
ฉันได้รู้จักพี่อารีย์ ก็เพราะว่าเธอเป็นพี่สาวของคุณอรุณ ซันทุคซี (รองประธานสมาคมไทย-กวนอิม,สวิตเซอร์แลนด์) เคยเห็นเธอครั้งหนึ่งกับพวกน้อง ๆ ของเธอที่จังหวัดพิษณุโลก เธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง สามีของเธอรับราชการทหาร มียศระดับใหญ่และมีลูกชายด้วยกัน ๑ คน.....เธอเริ่มไม่สบายด้วยมีมือสั่นผิดปรกติบ่อย ๆ จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็ค ผลปรากฏว่าเป็นโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ หมอสั่งให้ผ่าตัด หลังจากได้รับการผ่าตัดแล้ว ได้ติดเชื้อไวรัสซีลงตับ ต่อมาได้มีอาการโรคใหม่แทรกซ้อน เธอไม่สามารถดื่มนมได้เหมือนเมื่อก่อน พอดื่มนมแล้วรู้สึกอืดและแน่นท้องมาก จึงได้ไปให้หมอตรวจเช็คสุขภาพอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งตับ จึงได้รับการรักษา ด้วยการฉายรังสีเป็นระยะ หลังจากนั้นต่อมาก็มีโรคเบาหวานแทรกซ้อนเพิ่มอีก ๑ โรค มีอาการตาเหลืองและบวม ไม่มีเรี่ยวแรง....ในช่วงที่พี่อารีย์ป่วยหนักนี้ คุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน ให้ช่วยสื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์ตรวจกรรมให้ด้วย ครูบาอาจารย์ได้แนะนำว่า ให้พี่อารีย์ไปทำบุญทำทาน และทำสังฆทานให้แก่เจ้ากรรมนายเวร เป็นระยะ ๆ อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอมีอาการหนักแทบจะเอาชีวิตไม่รอด เพราะอาการของโรคกำเริบหนักมาก คุุณอรุณได้โทรมาขอร้องฉัน สื่อติดต่อกับครูบาอาจารย์เมตตาโปรดพี่อารีย์ด้วย ฉันจึงได้สื่อกับท่านท้าวเวสสุวรรณ เพื่อให้ท่านเมตตา ช่วยตรวจดูบัญชีชีวิตของนางอารีย์ ศรีอุราม ว่าเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าหมดอายุแล้ว ฉันจึงได้ขอท่านโปรดเมตตาด้วย ขอให้พี่อารีย์ได้มีโอกาส มีอายุอยู่ต่อสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะได้ทำบุญทำทาน ให้พร้อมก่่อนที่จะสิ้นชีวิต.....ท่านท้าวมัฉจุราชได้เมตตาอย่างเหลือล้น อนุญาตให้พี่อารีย์ มีชีวิตอยู่เพื่อทำบุญกุศลอีก ๔ ปี.....นับตั้งแต่นั้นมา อาการเจ็บป่วยก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอสามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายนี้ สร้างบุญกุศลได้ดั่งใจ เธอได้ไปทำบุญกับครอบครัวและญาติพี่น้องตามวัดต่าง ๆ ไปบวชเนกขัมมะ, ศึกษาพลังจักรวาล, บวชลูกชาย, ทำบุญทอดผ้าป่า ทำบุญทอดกฐิน, ปล่อยชีวิตโค-กระบือ และสัตว์อื่น ๆ สร้างพระพุทธรูป, สร้างศาลา, สร้างองค์พระแม่กวนอิม, ซื้อที่ดินถวายวัด เรียกว่าทำกุศลกรรมทุกประเภทที่ตามโอกาส จนเป็นอาจิณกรรมก็ว่าได้ เพราะเหตุว่าเธอรู้ตัวแล้วว่า ตนเองมีเวลาจำกัดมาก
ถึงแม้ว่าเธอจะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนสารพัด แต่เธอก็ไม่เคยที่จะทอดทิ้งหน้าที่ภรรยาที่ดี และหน้าที่แม่ที่ดีของลูก เธอเป็นที่รักของแม่,พี่ ๆ และน้อง ๆ ยามที่เธอเจ็บป่วยหนักทีไร พวกพี่ ๆ น้อง ๆ ก็จะพากันไปที่กรุงเทพ (พี่อารีย์มีครอบครัวอยูที่กรุงเทพ) มาคอยให้กำลังใจเสมอ.....ชีวิตบั้นปลายของพี่อารีย์ไม่ได้อยู่เป็นที่แน่นอน ต้องเข้า ๆ ออก ๆ อยู่โรงพยายบาลบ้าง อยู่ที่บ้านบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่โรงพยาบาล เวลาเธออยู่ที่บ้าน ก็จะพยายามทำงานบ้านเหมือนคนปรกติ ทั้ง ๆ ที่บ้านก็มีคนรับใช้ แต่ก็ชอบทำอะไรเองมากกว่า เธอเป็นคนใจแข็งมาก บางครั้งมีอาการเจ็บปวดมาก ก็จะไม่ยอมบอกให้ใครรับรู้ด้วย เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างคิดมาก นอกจากนั้นยังเป็นคนรักสวยรักงามมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นคนป่วย แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองดูน่าเกลียดเหมือนคนป่วย จะต้องแต่งตัวให้ดูสวยงามอยู่เสมอ
ยังมีต่ออีกค่ะ.....