Translate

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แด่...เทพธิดาอารีย์ (๓)

สวัสดีค่ะ  ท่านผู้อ่านทุกท่าน

หวังว่าคงจะสบายดีนะคะ...ท่่านได้ติดตามอ่านเรื่องราวของเทพธิดาอารีย์ถึง ๒ ตอนแล้ว รู้สึกเป็นไงบ้างคะ น่าสนใจมั้ยคะ วันนี้ก็จะเป็นตอนสุดท้ายจ๊ะ.....เรื่องเทวดานางฟ้านี่ก็มีเล่าในพระสูตรมากมาย เป็นตัวอย่างอันดี สำหรับท่านที่ปรารถนาความสุขในภพหน้า....อยากจะเป็นเทวดานางฟ้า ก็ต้องเริ่มทำเหตุให้ตรงกับผลเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไปจ๊ะ  คือต้องรู้จักคุณธรรมของเทวดาและนางฟ้า เขามีคุณธรรมอย่างไร ใช่ว่าจะนึกคิดโดยไม่รู้อีโน่อีเน่ เอะอะก็จะไปเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าได้ดั่งใจ....เทวดานางฟ้าที่จน ๆ ก็มีแยะ
และที่แย่ ๆ  เป็นเทวดานางฟ้าที่พิการก็มี  เพราะเหตุว่าปฏิสนธิจิตประกอบด้วยกุศลวิบาก (ผลของกุศลกรรม) ที่มีกำลังน้อย  ผลของกุศลกรรมที่มีกำลังน้อยนี่ ก็จะนำไปเกิดบนสวรรค์ชั้นต้น ๆ  คือชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นเทวดานางฟ้าที่ไม่สมประกอบ แถมยังมีรัศมีน้อยริบหรี่ มีทิพยสมบัติไม่มากหรูหรา  และถ้าเกิดเป็นมนุษย์  ก็จะเป็นมนุษย์ที่พิกลพิการ บ้าใบ้  หูหนวก ตาบอด.....ท่านคงจะสงสัยนะคะว่า แล้วเทพธิดาอารีย์นี่เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นไหนกัน

หลังจากที่พี่อารีย์ได้สิ้นชีวิตไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑  ฉันไม่เคยได้ข่าวจากพี่อารีย์อีกเลย  เพราะยังสื่อติดต่อกันไม่ได้  เธอคงจะกำลังเพลิดเพลินและเสวยสุขอยู่กับทิพยสมบัติบนสวรรค์อยู่  เลยยังไม่มีเวลาที่จะลงมาเยี่ยมญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงบ้างเลย  หรือว่าเธออาจจะเคยมาหาแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น เพราะไม่มีตาทิพย์หูทิพย์และสื่อติดต่อกันไม่ได้.....คุณอรุณน้องสาวของพี่อารีย์ มักจะถามฉันอยู่บ่อย ๆ  ว่าพี่สาวของเธอมาที่สมาคมไทย-กวนอิม บ้างมั้ย  เธอก็รอฟังข่าวอยู่เนื่อง ๆ  จนกระทั่งในวันขึ้นปีใหม่ปี พ.ศ.๒๕๕๒ พี่อารีย์ได้มาที่สมาคม....เธอได้มาอวยพรปีใหม่ให้ฉันและครอบครัว....ตามปรกติที่สมาคม จะมีกิจกรรมพิเศษเสมอในวันสำคัญทางศาสนา  และวันสำคัญทางสากลโลก จะมีครูบาอาจารย์และเทวดานางฟ้า มาสวดมนต์เป็นภาษาของโลกทิพย์ ซึ่งมีหลายภาษามาก แตกต่างกันไป ตามภพภูมิของสวรรค์แต่ละชั้น  เสียงเทวดาสวดมนต์ร่ายเวทคาถาไพเราะน่าฟังมาก  เขาจะพากันมาเป็นกลุ่ม ๆ  เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีการแซงคิวเหมือนเมืองมนุษย์ ใครมาก่อนก็สวดก่อน จะมากันตั้งแต่ ๕ ทุ่ม จนถึงประมาณตี ๒ ก็จะพากันทยอยกลับ

เทพธิดาอารีย์มาคราวนี้พูดเสียงไพเราะมาก  ได้มาร้องเพลงอวยพรให้ฟัง  ขณะที่ได้ยินเสียงเพลงของนางฟ้าท่านสุดท้ายร้องเพลง  ฉันนึกในใจว่าต้องเป็นนางฟ้ามาใหม่แน่ ๆ เลย....พอร้องจบเธอก็กล่าวขึ้นว่า "สวัสดีค่ะคุณแมว นี่เทพธิดาอารีย์ พวกเรามาร้องเพลงอวยพรปีใหม่ แด่คุณแมวและครอบครัว ขอให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญตลอดปีเทอญ"  ฉันตกใจพอทราบว่าเป็นเทพธิดาอารีย์ เพราะนึกไม่ถึงว่าเธอจะมาร้องเพลงให้ฟังด้วย  จึงได้ถามเธอว่า "เทพธิดาอารีย์มาจากสวรรค์ชั้นไหนค่ะ มากันกี่ท่าน"  เธอตอบว่า "เทพธิดาอารีย์มาจากชั้นยามา มาด้วยกัน ๕ ท่านค่ะ"  ฉันก็ถามต่ออีกว่า "มีอะไรจะฝากบอกกับญาติพี่น้องมั้ยค่ะ" รู้สึกว่า เธอดีใจมากที่ฉันถามประโยคนี้  เธอรีบพูดทันทีว่า  "เทพธิดาอารีย์ขอขอบพระคุณ คุณแมวและครอบครัวเป็นอย่างมาก ที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจมาตลอด  และอยากจะฝากคุณแมว ช่วยบอกกับอรุณด้วยว่า ขอบใจมาก ๆ  ที่ได้ช่วยแนะนำให้สร้างบุญกุศลต่าง ๆ ในช่วงที่เจ็บป่วยหนัก ด้วยอานิสงส์ของกุศลกรรม ที่ได้กระทำก่อนตาย จึงทำให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา ช่วยบอกแม่และพี่ ๆ น้อง ๆ ด้วยว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ให้ห่วงตนเองเถิด  สร้างบุญกุศลให้มาก ๆ  รักษาศีล ทำบุญทำทาน หมั่นฟังธรรม สวดมนต์ภาวนาสม่ำเสมอ เพราะว่าสวรรค์และนรกมีจริง  และขอความกรุณาคุณแมวช่วยบอกอรุณด้วย ให้ไปเตือนพี่เขยว่า เลิกอบายมุขได้แล้ว"  เธอพูดซะยาวเหยียดเลย  ฉันเองก็ฟังเพลินจนจะสับพะงก เพราะว่าเป็นเวลาดึกแล้ว เธอคงสังเกตเห็นท่าทางฉันง่วงแย่แล้ว  จึงเอ่ยว่า "ขอขอบคุณมาก ๆ  อีกครั้งค่ะคุณแมว  และฝากความรักความคิดถึง ๆ คุณแม่และพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนด้วยค่ะ...เทพธิดาอารีย์ขอลาก่อน สวัสดีค่ะ" 

ในวันรุ่งขึ้นฉันก็ได้นำเรื่องทั้งหมด ที่เทพธิดาอารีย์ได้ขอร้อง บอกกล่าวให้คุณอรุณรับทราบ คุณอรุณดีใจและตื่นเต้นจนน้ำตาไหล คงจะปลิ้มกับอานิสงส์ของบุญ ที่พี่สาวได้เสวย ถึงแม้ว่าตอนช่วงปลายของชีวิต จะมีเวลาในการทำบุญทำทานสั้นมาก แต่ก็มีผลมากเกินคาดทีเดียว.....ช่วงตอนที่ร่างกายยังแข็งแรงดี  ก็มีภาระกิจทางโลกมาก จนไม่ค่อยได้ทำบุญได้เต็มที่ เหมือนตอนที่ป่วยหนัก  แต่ก็โชคดีที่มีน้องสาวเป็นกัลยามิตร คอยแนะนำเกื้อกูลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต.....คุณอรุณได้นำเรื่องที่ให้ไปเตือนพี่เขยว่า "ให้เลิกอบายมุข" พี่เขยของเธอก็ไม่ทราบว่า "อบายมุขคืออะไร" เธอก็เลยย้อนพี่เขยว่า "คนชั้นปัญญาชนแล้ว น่าจะรู้ว่าอบายมุขคืออะไร" พี่เขยของเธอไม่เคยมีเวลา เพื่อที่จะศึกษาธรรมะ หรือว่าไม่สนใจ  ก็เลยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอบายมุข....แล้วจะมาเอาอะไรกับเธอคนมีความรู้น้อย..... เป็นอันว่าทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่า "อบายมุขคืออะไร"  ฉันก็จะขอแทรกไว้ตรงนี้ซะเลย เผื่อท่านผู้อ่านบ้างท่านยังไม่รู้ ก็จะได้รู้ แล้วนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง เพื่อความเจริญไพบูลย์แห่งชีวิต และโภคทรัพย์ของท่านและครอบครัว...อบายมุข ๖ หมายถึงช่องทางแห่งความเสื่อมความพินาศย่อยยัยแห่งโภคทรัพย์ ได้แก่ ๑.ติดสุรา ๒.ชอบเที่ยวกลางคืน ๓.ชอบดูการละเล่น ๔.ติดการพนัน ๕.คบคนชั่วเป็นมิตร ๖. เกียจคร้านการทำงาน

หลังจากนั้นมาเป็นเวลาประมาณ ๖ เดือน  อดีตสามีของพี่อารีย์หรือเทพธิดาอารีย์  ก็ได้ประสบกับอกุศลวิบากกรรมอย่างหนัก  เพราะเหตุว่าไม่รู้จักอบายมุขคืออะไร ก็เลยโดนอบายมุขสั่งสอนเข้าให้  เขาบอกว่า  ถ้าเขารู้ว่าอบายมุขคืออะไร  เขาก็คงจะไม่ต้องมาเจอกับโรค "มะเร็งปอด" เช่นนี้....นี่แหละผลของการใช้ชีวิตแบบไม่มีธรรมะเป็นเครื่องคุ้มครอง....ทุกวันนี้พี่เขยของคุณอรุณ ก็ต้องไปรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นระยะ ๆ  เขาว่าไม่ถึงขั้นร้ายแรงนัก ยังพอมีโอกาสหายได้  เพราะว่าเขาได้เลิกสูบบุหรี่ทันที  ที่ได้ทราบผลการตรวจปอดว่าเป็น "มะเร็ง"  นี่ถ้าเขาไม่รู้เรื่องของอบายมุขเลย  แต่เชื่อคำเตือนของเทพธิดาอารีย์อดีตภรรยาที่รักของเขา.... เขาก็คงจะไม่ต้องทุกข์ทรมานกายและใจมาก เหมือนทุกวันนี้อย่างแน่นอน

ท่านผู้อ่านค่ะ....อ่านจบแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง....สังเกตเห็นสภาวะจิตของตนเองมั้ยคะ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้ารู้สึกเศร้าก็เป็นอกุศลจิต  ถ้าเฉย ๆ ก็เป็นโมหจิต คือหลงลืมสติ  ถ้าสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงของจิตขณะนั้น ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิด แล้วก็ดับไป ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา  อาการเช่นนี้ เรียกว่าเป็นผู้มี "สติคุ้มครองกายและใจ"....อย่าลืมนะคะ หมั่นสร้างกุศลกรรม และละเว้นอบายมุข....ท่านก็จะมีความสุข ทั้งในภพนี้และภพหน้าจ๊ะ....รอคอยติดตามฟังข่าวใหม่จากเทพธิดาอารีย์ต่อไปอีกนะคะ  ฉันคิดว่าสักวันหนึ่ง เธอคงจะมีเรื่องบนสวรรค์ มาเล่าให้พวกเราฟังกัน...สำหรับบทความนี้ก็จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว.....วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ ๓ ปี แห่งวันสิ้นภพชาติการเป็นมนุษย์ของพี่อารีย์....ขอให้เทพธิดาอารีย์ จงเจริญในบารมีธรรมและมีความสุขยิ่ง ๆ เทอญ.....สวัสดีค่ะ