Translate

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปาฏิหาริย์พระแม่กวนอิม

นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก
ตอนโปรดวิญญาณ  เมื่อ ค.ศ.2002 เดือนสิงหาคม (วันที่จำไม่ได้แล้ว) ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อน ฉันและสามีได้รับเชิญ ไปร่วมทำบุญครบ ๗ วัน ของครอบครัวคนไทย-สวิส  ได้สูญเสียลูกสาวสุดที่รัก เธอมีชื่อเล่นว่า "อันจี้" อายุ ๒๐ ปี ตายเพราะถูกข่มขืนในป่า เด็กสาวคนนี้  ฉันเคยรู้จักและได้พูดคุยกับเธอประมาณ  ๓-๔ ครั้ง  ตอนนั้นเธออายุได้ ๗ ขวบ เธอเป็นคนสวยมาก  เพราะเป็นลูกครึ่งไทย-สวิส  มารดาเป็นอดีตนางสาวไทยเข้ารอบ ๑๐ คน  เนื่องด้วยอกุศลวิบากกรรมของผู้เป็นมารดาส่งผล  ในช่วงนั้นหนูอันจี้เพิ่งอายุได้ขวบกว่า ๆ มารดาของเธอ ได้ถูกตำรวจลับที่สนามบินของประเทศเยอรมันจับได้ ขณะที่กำลังลักลอบ  นำของผิดกฎหมายเข้าประเทศ  ทางการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จึงได้เอาหนูอันจี้ผู้น่าสงสารคนนี้  ไปเลี้ยงไว้  เพราะเหตุว่าบิดาของเธอ ก็โดนอกุศลวิบาก  เล่นงานหนักเช่นกัน เป็นคนติดยา ติดบุหรี่ และอัลโกฮอล ต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลอย่างจริงจัง  ลูกสาวจึงตกอยู่ในความดูแล ของทางการ  จนกระทั่งอายุเข้าเกณฑ์การศึกษา คืออายุ ๖ ขวบ ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล   เมื่ออายุได้ ๖ ขวบ เธอจึงได้กลับไปอยู่กับบิดาของตน  ส่วนมารดาของเธอนั้น  เธอไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ข่าวอีกเลย จนกระทั่งตายจากกัน
       
บ่ายวันหนึ่งราว ๆ  ปลายเดือนสิงหาคม  บิดาของอันจี้ ได้นำกระดูกของเธอไปที่วัดไทย เพื่อให้พระสงฆ์ทำพิธีสวดอุทิศส่วนบุญ ให้แก่วิญญาณของอันจี้  มีแฟนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอไปร่วมพิธีหลายคน  วันนั้นฉันกับสามีได้พบกับบิดาของอันจี้   หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี  ดูเขาเปลี่ยนไปมาก  จนแทบจำไม่ได้ พอทราบการตายของอันจี้จากบิดาเธอ  เรารู้สึกสลดใจมาก  เพราะไม่คิดว่า เธอจะจบชีวิตลงแบบโหดร้ายเช่นนี้  ชีวิตเธอตั้งแต่เด็กก็หนักพออยู่แล้ว และยังจะต้องมาเสียชีวิตตอนอายุยังน้อย ๆ อยู นี่แหละ "สัจจะธรรม" ของจริงแท้ที่ไม่มีผู้ใดบนโลกนี้จะเลี่ยงได้เลย และไม่มีผู้ใดสามารถอยู่เหนือ "กฎไตรลักษณ์" ได้เลยเช่นกัน นอกจากพระอรหันต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านตัดกิเลสได้หมดแล้ว

ทีนี้ก็จะเข้าสู่ตอนตื่นเต้นกันล่ะ  ในระหว่างที่พระสงฆ์กำลังสวดมนต์  เจ้าภาพและแขกผู้มาร่วมพิธี ทุกท่านต่างก็นั่งอยู่ในอาการสงบสำรวม  แต่ฉันซึ่งเป็นแขกคนไทยคนเดียวในที่นั้น  ไม่สงบเลย รู้สึกมีอะไรไม่ทราบ  เป็นเหมือนลมแน่น ๆ อยู่ในอก  แน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ   จนในที่สุดอ่อนแรง  ไม่สามารถนั่งพนมมือได้เลย จึงได้เอนกายแปะข้าง ๆ สามีไว้ เพราะว่าจะเป็นลมให้ได้  สามีฉันเขาก็คงจะตกใจ แต่เขาไม่แสดงออก  สักครู่หนึ่งฉันก็มีแรงอย่างบอกไม่ถูก  จิตเห็นเหมือนว่าร่างกายตัวเองสูงใหญ่ หน้าตาสวยแบบคนจีน ผิวขาวมากจนซีด ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงออกมาอย่างดัง  ตกใจมาก เอ๊ะ..นี่ไม่ใช่เสียงเรา ฉันทราบว่าไม่ใช่เสียงของฉันแน่  เสียงพระสวดมนต์ก็หยุดชะงักทันทีทันใด  จากนั้นก็มีเสียงพูดเป็นภาษาจีน แล้วแถมมีการแปล เป็นภาษาเยอรมันด้วย    ทุกคนตกตะลึก ทั้งพระและฆราวาสต่างเงียบสงัด  เหมือนโดนมนต์สะกดไปชั่วขณะ  พอจะจับใจความคำพูดได้ว่า "นี่คือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาช่วยแล้ว อันจี้ ๆ ๆ เข้ามานี่ มากราบพระประธาน กราบพระสงฆ์ แล้วไปกราบเท้าบิดาด้วย กราบขอขมาเขาด้วย ที่เคยล่วงเกินเขาเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่" ขณะนั้นอยู่ ๆ  ก็มีเด็กสาววัยราว ๒๐ ปีเศษ ๆ คนหนึ่งมานั่งที่หน้าประตูแล้วก็รีบลุกไป  คิดว่าวิญญาณอันจี้  คงจะอาศัยร่างของผู้หญิงคนนี้ เข้ามาในวัด หลังจากนั้นพระท่านก็สวดมนต์ต่อจนจบ  พอพระเริ่มสวดฉันก็รู้สึกตัวเป็นปกติ พอเสร็จพิธีแล้ว  ฉันก็เข้าไปกราบขอขมาท่านเจ้าอาวาสวัด ๆ  ก็ขำหัวเราะแล้วถามฉันว่า "โยมเป็นอะไร" ฉันก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน  พวกฝรั่งเขาคงคิดว่าฉันสามารถเข้าทรางได้มั้ง เปล่าเลยนะ  พวกเขาพากันซักถามเรื่องเกี่ยวกับอันจี้กันใหญ่  ฉันก็ได้แต่ตอบให้กำลังใจเขาว่า "อันจี้ไปดีแล้ว ไม่ต้องห่วง" พวกเขาก็ขอบคุณและดูสีหน้ามีความสบายใจขึ้นกว่าก่อน  ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้ มันเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ทราบว่าเกิดได้อย่างไร  ฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่ององค์หรือเรื่องการทรงเจ้าอะไรท้ังนั้น ขันครูก็ไม่เคยรู้เรื่อง หมอดูหมอเดาฉันไม่เอาเลย ฉันชอบฝึกสมาธิ ฝึกสติเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สงบสะอาด เบิกบาน เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง วันนั้นฉันงงอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง มีแต่คำถามว่า"ทำไมถึงต้องเป็นเรา" แต่ก็ยังไม่มีคำตอบสักที

เรื่องของอันจี้ยังไม่จบแค่ที่วัด   ยังมีภาค ๒ อีก ตอนเย็นวันเดียวกัน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม อยู่ดี ๆ ฉันไม่ทราบตนเองเป็นอะไร  เสียใจนั่งร้องไห้คนเดียว  พอมีสติระลึกรู้ตัว จิตก็สามารถแยกความรู้สึกได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ "จิต" ของเรานี่ จิตนี้เป็นจิตที่เศร้าหมองและเสียใจมาก ๆ  ฉันไม่สามารถต้านทานจิตแฝง  เพราะจิตยังไม่มีพลังแก่กล้าพอ จึงคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ฉันก็ปล่อยให้เขาพูดออกมา เผื่อเราจะช่วยเขาได้บ้าง เขาก็พูดแนะนำตนเองว่า "ฉันคืออันจี้"  พอได้ยินเสียงพูดเท่านั้นแหละ  จิตฉันคิดทันทีว่า " เอาแล้วซิเรา..ผีตามมาจนได้"  งั้นก็ดูกันต่อไป และแล้วเธอก็พูดต่อไปว่า ขอให้ฉันช่วยโทรหาพ่อเขาให้ด้วย ฉันก็โทรไป แต่ว่าพ่อเขาคงไม่อยู่ อันจี้ขอร้องให้โทรอีกครั้ง เธอบอกว่า พ่อของเธอเข้าห้องน้ำอยู่  ตอนนี้โทรได้แล้ว  พอโทรไปก็เจอตัวตามที่เธอบอก  แล้วอันจี้ก็ร้องไห้ทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อเขา ๆ จำเสียงลูกสาวได้ก็พลอยเสียงเครือไปด้วย  คงจะตื่นเต้นดีใจและนึกไม่ถึงว่า สมัยใหม่นี้  คนคุยกับวิญญาณได้  แล้วอันจี้ก็อ้อนกินพีซซ่าอาหารโปรดของเธอ  และอยากได้ชุดโปรดสีชมพูด้วย  เธอบอกกับพ่อว่า เธอหิวมากและก็หนาวมากด้วย  เพราะว่าตอนตายเธอถูกเปลือยกายหมด  พ่อเขาก็บอกว่าจะรีบจัดการให้  พออันจี้ได้คุยกับพ่อของเธอเป็นที่พอใจแล้ว เธอก็ขอบคุณฉันแล้วก็ลาจากไป  ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่มาปรากฏอีกเลย  เธอคงจะไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้ว เรื่องการโปรดวิญญาณของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ก็ขอจบเพียงแค่นี้  นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก

เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้เราท่านทั้งหลาย  พึงระลึกเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อเสวยวิบาก (ผลของกรรม)ที่ตนได้กระทำไว้แล้วในอนันตชาติ เราเกืดมาเพื่อศึกษาพระธรรมและทำกรรมดี  ไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า "วิบากกรรม" และไม่มีใครรับเสวยวิบากแทนเราได้  ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท