นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก |
บ่ายวันหนึ่งราว ๆ ปลายเดือนสิงหาคม บิดาของอันจี้ ได้นำกระดูกของเธอไปที่วัดไทย เพื่อให้พระสงฆ์ทำพิธีสวดอุทิศส่วนบุญ ให้แก่วิญญาณของอันจี้ มีแฟนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอไปร่วมพิธีหลายคน วันนั้นฉันกับสามีได้พบกับบิดาของอันจี้ หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาหลายปี ดูเขาเปลี่ยนไปมาก จนแทบจำไม่ได้ พอทราบการตายของอันจี้จากบิดาเธอ เรารู้สึกสลดใจมาก เพราะไม่คิดว่า เธอจะจบชีวิตลงแบบโหดร้ายเช่นนี้ ชีวิตเธอตั้งแต่เด็กก็หนักพออยู่แล้ว และยังจะต้องมาเสียชีวิตตอนอายุยังน้อย ๆ อยู นี่แหละ "สัจจะธรรม" ของจริงแท้ที่ไม่มีผู้ใดบนโลกนี้จะเลี่ยงได้เลย และไม่มีผู้ใดสามารถอยู่เหนือ "กฎไตรลักษณ์" ได้เลยเช่นกัน นอกจากพระอรหันต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านตัดกิเลสได้หมดแล้ว
ทีนี้ก็จะเข้าสู่ตอนตื่นเต้นกันล่ะ ในระหว่างที่พระสงฆ์กำลังสวดมนต์ เจ้าภาพและแขกผู้มาร่วมพิธี ทุกท่านต่างก็นั่งอยู่ในอาการสงบสำรวม แต่ฉันซึ่งเป็นแขกคนไทยคนเดียวในที่นั้น ไม่สงบเลย รู้สึกมีอะไรไม่ทราบ เป็นเหมือนลมแน่น ๆ อยู่ในอก แน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดอ่อนแรง ไม่สามารถนั่งพนมมือได้เลย จึงได้เอนกายแปะข้าง ๆ สามีไว้ เพราะว่าจะเป็นลมให้ได้ สามีฉันเขาก็คงจะตกใจ แต่เขาไม่แสดงออก สักครู่หนึ่งฉันก็มีแรงอย่างบอกไม่ถูก จิตเห็นเหมือนว่าร่างกายตัวเองสูงใหญ่ หน้าตาสวยแบบคนจีน ผิวขาวมากจนซีด ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงออกมาอย่างดัง ตกใจมาก เอ๊ะ..นี่ไม่ใช่เสียงเรา ฉันทราบว่าไม่ใช่เสียงของฉันแน่ เสียงพระสวดมนต์ก็หยุดชะงักทันทีทันใด จากนั้นก็มีเสียงพูดเป็นภาษาจีน แล้วแถมมีการแปล เป็นภาษาเยอรมันด้วย ทุกคนตกตะลึก ทั้งพระและฆราวาสต่างเงียบสงัด เหมือนโดนมนต์สะกดไปชั่วขณะ พอจะจับใจความคำพูดได้ว่า "นี่คือพระโพธิสัตว์กวนอิม มาช่วยแล้ว อันจี้ ๆ ๆ เข้ามานี่ มากราบพระประธาน กราบพระสงฆ์ แล้วไปกราบเท้าบิดาด้วย กราบขอขมาเขาด้วย ที่เคยล่วงเกินเขาเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่" ขณะนั้นอยู่ ๆ ก็มีเด็กสาววัยราว ๒๐ ปีเศษ ๆ คนหนึ่งมานั่งที่หน้าประตูแล้วก็รีบลุกไป คิดว่าวิญญาณอันจี้ คงจะอาศัยร่างของผู้หญิงคนนี้ เข้ามาในวัด หลังจากนั้นพระท่านก็สวดมนต์ต่อจนจบ พอพระเริ่มสวดฉันก็รู้สึกตัวเป็นปกติ พอเสร็จพิธีแล้ว ฉันก็เข้าไปกราบขอขมาท่านเจ้าอาวาสวัด ๆ ก็ขำหัวเราะแล้วถามฉันว่า "โยมเป็นอะไร" ฉันก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน พวกฝรั่งเขาคงคิดว่าฉันสามารถเข้าทรางได้มั้ง เปล่าเลยนะ พวกเขาพากันซักถามเรื่องเกี่ยวกับอันจี้กันใหญ่ ฉันก็ได้แต่ตอบให้กำลังใจเขาว่า "อันจี้ไปดีแล้ว ไม่ต้องห่วง" พวกเขาก็ขอบคุณและดูสีหน้ามีความสบายใจขึ้นกว่าก่อน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้ มันเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ทราบว่าเกิดได้อย่างไร ฉันไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่ององค์หรือเรื่องการทรงเจ้าอะไรท้ังนั้น ขันครูก็ไม่เคยรู้เรื่อง หมอดูหมอเดาฉันไม่เอาเลย ฉันชอบฝึกสมาธิ ฝึกสติเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สงบสะอาด เบิกบาน เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง วันนั้นฉันงงอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง มีแต่คำถามว่า"ทำไมถึงต้องเป็นเรา" แต่ก็ยังไม่มีคำตอบสักที
เรื่องของอันจี้ยังไม่จบแค่ที่วัด ยังมีภาค ๒ อีก ตอนเย็นวันเดียวกัน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม อยู่ดี ๆ ฉันไม่ทราบตนเองเป็นอะไร เสียใจนั่งร้องไห้คนเดียว พอมีสติระลึกรู้ตัว จิตก็สามารถแยกความรู้สึกได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ "จิต" ของเรานี่ จิตนี้เป็นจิตที่เศร้าหมองและเสียใจมาก ๆ ฉันไม่สามารถต้านทานจิตแฝง เพราะจิตยังไม่มีพลังแก่กล้าพอ จึงคิดว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะว่า "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ฉันก็ปล่อยให้เขาพูดออกมา เผื่อเราจะช่วยเขาได้บ้าง เขาก็พูดแนะนำตนเองว่า "ฉันคืออันจี้" พอได้ยินเสียงพูดเท่านั้นแหละ จิตฉันคิดทันทีว่า " เอาแล้วซิเรา..ผีตามมาจนได้" งั้นก็ดูกันต่อไป และแล้วเธอก็พูดต่อไปว่า ขอให้ฉันช่วยโทรหาพ่อเขาให้ด้วย ฉันก็โทรไป แต่ว่าพ่อเขาคงไม่อยู่ อันจี้ขอร้องให้โทรอีกครั้ง เธอบอกว่า พ่อของเธอเข้าห้องน้ำอยู่ ตอนนี้โทรได้แล้ว พอโทรไปก็เจอตัวตามที่เธอบอก แล้วอันจี้ก็ร้องไห้ทันทีที่ได้ยินเสียงพ่อเขา ๆ จำเสียงลูกสาวได้ก็พลอยเสียงเครือไปด้วย คงจะตื่นเต้นดีใจและนึกไม่ถึงว่า สมัยใหม่นี้ คนคุยกับวิญญาณได้ แล้วอันจี้ก็อ้อนกินพีซซ่าอาหารโปรดของเธอ และอยากได้ชุดโปรดสีชมพูด้วย เธอบอกกับพ่อว่า เธอหิวมากและก็หนาวมากด้วย เพราะว่าตอนตายเธอถูกเปลือยกายหมด พ่อเขาก็บอกว่าจะรีบจัดการให้ พออันจี้ได้คุยกับพ่อของเธอเป็นที่พอใจแล้ว เธอก็ขอบคุณฉันแล้วก็ลาจากไป ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่มาปรากฏอีกเลย เธอคงจะไปเกิดในภพภูมิใหม่แล้ว เรื่องการโปรดวิญญาณของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ก็ขอจบเพียงแค่นี้ นำโม กวน ซีอิม ผู่สัก
เรื่องนี้ก็เป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้เราท่านทั้งหลาย พึงระลึกเสมอว่า เราเกิดมาเพื่อเสวยวิบาก (ผลของกรรม)ที่ตนได้กระทำไว้แล้วในอนันตชาติ เราเกืดมาเพื่อศึกษาพระธรรมและทำกรรมดี ไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า "วิบากกรรม" และไม่มีใครรับเสวยวิบากแทนเราได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท